วันอังคารที่ 30 กันยายน พ.ศ. 2557

แอพพลิเคชั่น ทางเลือกสำหรับเจ้าสาวยุคใหม่

 

วันนี้มาพบกับแอพพลิเคชั่นใหม่ Wedding Dress Studio บน iPad ช่วยให้เจ้าสาว ค้นหาและเลือกลองชุดแต่งงานได้อย่างสะดวกรวดเร็วและประหยัดเวลาแอพนี้เป็นอย่างไรไปชมกัน

 

บริษัท Wedding Reality Inc ในโทรอนโต ประเทศแคนาดา พัฒนาแอพพลิเคชั่นใหม่เพื่อช่วยเจ้าสาวตัดสินใจเลือกชุดแต่งงานที่เหมาะสมโดยไม่จำเป็นต้องลองเสื้อผ้าทุกชุด ซึ่งมีตัวเลือกชุดดีไซน์แตกต่างกันกว่า 300 ชุด พร้อมทั้งข้อมูล รายละเอียด และเนื้อผ้า

 

  ทั้งนี้ผู้ใช้ต้องอัพโหลดภาพร่าง กายตัวเองขณะสวมใส่เสื้อผ้าแน่นกระชับ ไม่ปิดบังรูปทรงของร่างกาย และทำเครื่องหมายบริเวณช่วงไหล่ สะโพก และเอว โปรแกรมจะตรวจสอบรายละเอียดบนภาพและเลือกภาพชุดเจ้าสาวมาซ้อนทับ แสดงภาพจำลองเนื้อผ้าทิ้งตัวและพลิ้วไปตามลำตัวของผู้สวมสำหรับเทคโนโลยีใหม่ที่เพิ่มทางเลือกให้มีความสะดวกสบายมากขึ้น บริษัทวางแผนจับมือเป็นพันธมิตรกับร้านท้องถิ่นหลายแห่งในอนาคตเพื่อเสนอชุดเจ้าสาวแบบต่างๆ ให้เลือกผ่านแอพพลิเคชั่นนี้ที่เปิดให้ใช้ฟรีและใช้ได้ทั่วโลก เป็นประโยชน์สำหรับผู้ที่ไม่สะดวกมาลองชุดที่ร้านด้วยตัวเอง     

 

  นอกจากนี้ยังมีแอพพลิเคชั่นคล้ายกันเรียกว่า "Wedding Look Book" สำหรับอุปกรณ์มือถือทั้งไอโฟน และแอนดรอยด์ สามารถเรียกดูชุดเจ้า สาวแบรนด์ต่างๆ ได้มากกว่า 5,000 แบบ

โอ้เห็นแบบนี้แล้ว ใครมีเพื่อนหรือคนรู้จักที่จะแต่งงานลองแนะนำให้เค้าลองใช้ดูนะครับ แล้วกลับมาพบกันใหม่กับ 
 SimpleThings เรื่องง่ายๆที่คุณก็ทำได้ สวัสดีครับ

วันพุธที่ 24 กันยายน พ.ศ. 2557

ไอศกรีมดับร้อน ชอบทานรสไหน บอกนิสัยคุณได้นะ


ในวันที่อากาศร้อน หลายๆคนต้องมองหาไอศกรีม ซึ่งไอศกรีมเป็นผู้ช่วยที่ดีที่สุด  นอกจากจะดับร้อนแล้ว คุณชอบไอศกรีมรสไหนยังบ่งบอกความเป็นคุณได้อีกด้วย  โดยวันนี้เรานำเกร็ดน่ารู้ทายนิสัยจากรสไอศกรีมมาฝาก ซึ่งมีที่มาจากการศึกษาของบริษัทผู้ผลิตไอศกรีมในสหรัฐ Edy's Grand Ice Cream โดย ดร.อลัน อาร์ เฮิร์ช ผู้อำนวยการสถาบันศึกษาวิจัยและรักษาทางด้านการรับรู้กลิ่นและรสเมืองชิคาโก พบว่าบุคลิกภาพของคนเรานั้นสัมพันธ์กับรสชาติไอศกรีมที่ชื่นชอบ แต่รสชาติไหนจะบ่งบอกว่าคุณเป็นคนแบบใด มารับชมกันเลยครับ
  ผู้ที่ชื่นชอบไอศกรีมรสวานิลลา
คุณเป็นคนชิลล์ๆ ร่าเริงสดใส อยู่ด้วยแล้วรู้สึกอุ่นใจ ไปไหนจึงมีแต่คนรัก แต่อีกมุมหนึ่งก็แอบซ่อนความเจ้าชู้แบบไม่รู้ตัว เพราะลึกๆ แล้วเป็นคนขี้เบื่อ จึงแสวงหาเรื่องตื่นเต้น เร้าใจอยู่ตลอดเวลาค่ะ
  ผู้ที่ชื่นชอบไอศกรีมรสช็อกโกแลต
คุณคืออาร์ตตัวแม่!! เซนซิทิฟ อ่อนไหว ช่างฝัน รักอิสระ อารมณ์ขึ้นๆ ลงๆ เปลี่ยนแปลงเร็ว อัพเดทกันแบบนาทีต่อนาที ที่สำคัญปรี๊ดง่าย หายเร็ว แม้ภายนอกจะดูมั่นใจเกินร้อย แต่ลึกๆ แล้วก็แอบหัวโบราณนิดๆ เป็นคนยึดในขนบธรรมเนียมประเพณี ให้ความสำคัญกับสิ่งที่พ่อแม่และคุณครูอบรมสั่งสอนเป็นอย่างมากค่ะ
  ผู้ที่ชื่นชอบไอศกรีมรสสตรอเบอร์รี่
เป็นคนที่หลงใหลกับความหอมหวานของรสสตรอเบอรี่ มักเป็นคนที่มีความเมตตา เอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ มองโลกในแง่ดี และมีความโรแมนติกสูง หวานแหวว ขี้อาย แต่ในทางกลับกันก็ขี้หึงเอาเรื่องนะคะ เอาเป็นว่าถ้ารักจะคบคนนี้ คงต้องยอมๆ กันหน่อย
  ผู้ที่ชื่นชอบไอศกรีมรสกาแฟ
ไอศกรีมรสนี้ฟ้องว่าคุณ เป็นคนที่มีความรับผิดชอบค่ะ มีความเป็นผู้นำสูงปรี๊ด มั่นใจเกินร้อย เชื่อมั่นในความสามารถของตนเองอย่างเหลือล้น มีความรับผิดชอบ ชอบท้าทายตัวเองด้วยสิ่งที่ยากๆ เพราะเชื่อในสุภาษิตที่ว่า ความพยายามอยู่ไหน ความสำเร็จอยู่ที่นั่น
  ผู้ที่ชื่นชอบไอศกรีมรสช๊อคโกแลตชิพ
คุณคือสมาชิกชมรม “โลกสวย” เชื่อว่าทุกสิ่งรอบตัวสวยงาม กระตือรือร้นและชอบความท้าทาย มักจะตั้งเป้าหมายในชีวิตไว้สูง จนดูเป็นคนมั่นใจเกินไป เมื่อเจอปัญหาจะสู้ชนิดหัวชนฝา เรียกว่าแพ้ไม่เป็นเลยทีเดียวล่ะ
  ผู้ที่ชื่นชอบไอศกรีมรสกระทิ
คุณเป็นคนสบายๆ มีโลกส่วนตัวสูงมาก รักสันโดษ ไม่ชอบให้ใครมาวุ่นวายกับตนมากนักเวลาคิดอะไรมักไม่ค่อยพูด แต่จะแสดงออกด้วยการกระทำมากกว่า 
  ผู้ที่ชื่นชอบไอศกรีมรสเชอร์เบต
คุณเป็นคนช่างฝัน อาจเข้าข่ายเพ้อฝันในบางครั้ง เข้ากับคนได้ง่ายรอบตัวคุณ จึงมีแต่ความสนุกสนาน จริงจังกับความรัก แถมยัง
โรแมนติกเอาการ ชอบสร้างบรรยากาศรักชวนฝัน ช่างเอาอกเอาใจ ใครได้เป็นแฟนถือว่าโชคดีมากมาย
ขอบคุณรูปจาก www.dek-d.com

ใครเป็นอย่างไรบ้างครับ ตรงกันบ้างไหมเอ่ย แล้วกลับมาพบกันใหม่นะครับกับ 
SimpleThings เรื่องง่ายๆที่คุณก็ทำได้ สวัสดีครับ

ซิกเว่ เบรกเก้

วันนี้มาพบกับ คุณซิกเว่ เบรกเก้ เค้ามีแนวคิดต่างๆที่ดีๆมากมายลองมารับชมกันครับว่ามีอะไรเจ๋งๆบ้างครับ

บนไทม์ไลน์ของโซเชียลมีเดียของทั้งพนักงานและลูกค้าได้พูดถึงซิกเว่อย่างตื่นเต้นและมีชีวิตชีวา พร้อมความหวังอันยิ่งใหญ่ที่ซิกเว่จะเข้ามาเปลี่ยนแปลงและนำพาดีแทคเข้าสู่ยุครุ่งโรจน์อีกครั้งเหมือนที่เขาเคยทำเมื่อหกปีก่อน...

"ซิกเว่ เบรกเก้" เป็นชาวนอร์เวย์โดยกำเนิด ก่อนที่จะรับตำแหน่งซีอีโอดีแทค ซิกเว่มีอาชีพหลากหลายมาก ตั้งแต่เป็นดีเจ เป็นครู เป็นผู้นำกรรมกร เป็นฝ่ายค้าน เป็นรัฐมนตรีช่วยกลาโหม ซิกเว่มารับตำแหน่งในดีแทคในฐานะซีอีโอร่วมคู่กับคุณวิชัย เบญจรงคกุล ในช่วงที่ดีแทคตกต่ำถึงขีดสุด โดยเขาสามารถพลิกฟื้นดีแทคให้กลับมาอย่างยิ่งใหญ่ ผ่านกระบวนการทางการตลาดที่แหวกแนว



ซิกเว่ เบรกเก้การนำตัวเองเข้าสู่การเป็น "ซีอีโอ" ขวัญใจมหาชนอย่างน่าทึ่ง ถ้านึกถึงว่าเขาเป็นฝรั่งที่พูดไทยได้ไม่กี่คำ แต่ทำให้ชาวบ้านร้านตลาดรู้จัก จดจำและรักเขาได้ แต่ที่คนดีแทคดีใจที่สุดที่เขากลับมาอีกครั้ง ก็คือความเป็นผู้นำของเขาที่ทุกคนนับถือและพร้อมที่จะทุ่มใจให้อย่างเต็มที่

ผมเคยทำงานกับซิกเว่ในช่วงที่พลิกฟื้นดีแทคอยู่ 5-6 ปี หลังจากต่างคนต่างแยกย้ายไป ก็ยังติดต่อพูดคุยสารทุกข์สุกดิบกันเป็นระยะ

ซิกเว่ไปผจญความท้าทายใหม่ ๆ ที่ยากขึ้นและสูงขึ้นด้วยการเป็นซีอีโอของเทเลนอร์ที่อินเดียควบกับเป็นหัวหน้าใหญ่ของเทเลนอร์ภาคพื้นเอเชีย และเขาก็ทำได้ดีอย่างสุดขั้วด้วยการนำพาบริษัทที่อินเดียที่ไม่น่าจะมีทางรอด เพราะเป็นเจ้าใหม่เล็ก ๆ รายที่สิบสาม แถมถูกมรสุมการเมืองยึดใบอนุญาต แต่ก็ใช้ศักยภาพความเป็นผู้นำของเขาอย่างเต็มที่ จนบริษัทที่อินเดียพลิกฟื้นและอยู่รอดได้อย่างสง่างาม

ซิกเว่กลับมาเที่ยวนี้จึงน่าสนใจเป็นอย่างมาก เพราะเขาผ่านการเคี่ยวกรำศึกหนักจากที่อินเดียและเพิ่มพูนประสบการณ์จากการบริหารในอีกหกประเทศทั่วเอเชียมาจนเรียกได้ว่าเป็น "ซิกเว่เวอร์ชั่นใหม่" ที่เก๋ากว่าและรอบด้านกว่าเดิม รวมถึงการตกผลึกเรื่องวิชาการเป็นผู้นำที่เขาได้ใช้มาตลอดและคงจะเอามาใช้กับดีแทคในรอบนี้อีกครั้ง

ซิกเว่เพิ่งมาพูดให้กับหลักสูตร ABC เรื่องภาวะผู้นำ เขาสรุปกฎแห่งผู้นำไว้เจ็ดข้อจากประสบการณ์ที่ตกผลึกของเขา ผมเลยคิดว่าอยากจะเอามาเล่าในที่นี้ เพื่อที่จะได้เห็นว่าเขาจะเริ่มการเปลี่ยนแปลงดีแทคในวิธีของเขาอีกครั้งอย่างไร

Rule 1 Leaders are chief storyteller "ซิกเว่" เชื่ออย่างมากว่า ผู้นำต้องเป็นคนเล่าเรื่องของบริษัทเองว่าบริษัทคือใคร ทำอะไรและมีเป้าหมายอย่างไร เขาเดินสายเล่าเรื่องด้วยตัวเองกับทุกคนที่เกี่ยวข้อง ตั้งแต่พนักงาน ผู้คุมกฎระเบียบ จนถึงลูกค้าที่อยู่ห่างไกล

Rule 2 A strategy can not be too simple too focused or too actionable
 กลยุทธ์บริษัท ไม่มีอะไรที่แคบไปง่ายไป หรือตรงเกินไป เขาเชื่อว่าการทำกลยุทธ์บริษัทต้องเป็นกลยุทธ์ที่เข้าใจง่าย ๆ จนถึงระดับล่างสุดขององค์กร และสามารถนำไปปฏิบัติได้อย่างง่าย ๆ เขาชอบใช้กฎง่าย ๆ 3-4 ข้อในการเขียนกลยุทธ์ เช่น ที่อินเดียซึ่งเป็นรองคู่แข่งทุกอย่าง เขาตั้งกลยุทธ์ง่าย ๆ ว่า ต้อง Best in Basic, Best in Distribution และ Best in Cost

แค่สั้น ๆ แต่จำได้จนถึงพนักงานที่ตัวเล็กที่สุดขององค์กร โดยเขาทำหน้าที่เดินสายเล่าที่มาที่ไปและความสำคัญของกลยุทธ์ที่ง่าย ๆ แต่มีประสิทธิภาพ

Rule 3 What gets measured get done อะไรที่วัดได้ จะทำได้ เขาให้ความสำคัญกับการวัดผลในรูปแบบต่าง ๆ อย่างมาก "ซิกเว่" จะพยายามวัดตั้งแต่เรื่องปกติ อย่างรายได้ หรือต้นทุน จนถึงการวัดเรื่องแบรนด์ เรื่องการให้บริการ อีกนัยหนึ่งก็คือ ถ้าอะไรที่วัดไม่ได้ ก็จะปรับปรุงไม่ได้

Rule 4 Stay honest ซิกเว่เป็นคนที่พูดตรง ๆ และเปิดเผยสถานะของบริษัทให้พนักงานอยู่อย่างสม่ำเสมอ แม้กระทั่งในช่วงวิกฤต เขาจะไม่พูดคำหวานหรือให้ความหวังลม ๆ แล้ง ๆ เพราะเขาเชื่อว่าคนเราสามารถรับความจริงได้มากกว่าที่คนอื่นคิด ถ้าเขารู้สึกว่าไม่มีอะไรปิดบัง ในทางตรงกันข้าม ถ้าเขาไม่เชื่อในสิ่งที่ผู้บริหารพูดและเกิดความไม่ไว้วางใจแล้ว ปัญหานั้นจะบานปลายและแก้ไขไม่ได้

Rule 5 Leaders walk the Talk ผู้นำใช้เท้าทำงาน ตอนที่ซิกเว่ทำงานที่ดีแทค เขาไปมามากกว่า 60 จังหวัด เดินสายพูดคุย เยี่ยมพนักงาน ลูกค้า ดีลเลอร์อย่างสม่ำเสมอ สิ่งที่ซิกเว่ได้จากการเดินก็คือข้อมูล ไอเดีย และการสร้างแบรนด์ไปในตัว และที่มากกว่านั้นคือการเป็นตัวอย่างให้พนักงานเห็นและทำตาม จนกลายเป็นวัฒนธรรมองค์กรที่สำคัญที่สุด

Rule 6 Remember to Celebrate ซิกเว่บอกว่า คนในวงการธุรกิจฉลองกันน้อยเกินไป เพราะความซีเรียสของตัวธุรกิจเอง เราก็เลยเข้าใจไปอย่างนั้น แต่ซิกเว่บอกว่าการให้ความสำคัญกับการฉลองหรือการให้รางวัลเล็ก ๆ น้อย ๆ ระหว่างทางก็สำคัญไม่ยิ่งหย่อนกว่าการฉลองใหญ่ตอนสิ้นปี เพราะเขาบอกว่ามันเป็นการบอกพนักงานหรือคู่ค้าว่ามาถูกทางแล้ว และเป็นเรื่องของการให้ความสำคัญกับทัศนคติที่ถูกต้อง

Rule 7 Everyone is Important ซิกเว่เล่าว่า ผู้บริหารเวลาได้รับตำแหน่งสูง ๆ มักจะเริ่มลืมตัว เริ่มใช้ชีวิตในอีกรูปแบบหนึ่ง เริ่มมีอีโก้ และหลงลืมไปว่า การที่บริษัทจะประสบความสำเร็จนั้นไม่ใช่เกิดจากแค่คนใดคนหนึ่ง แต่ต้องเกิดขึ้นจากคนทั้งองค์กร ผู้นำที่ดีต้องไม่ดูถูกคนที่ต่ำกว่า และให้ความสำคัญทุกคนเท่ากัน ถึงจะสามารถสร้างชนเผ่า (Tribe) ที่เข้มแข็งได้

วันอังคารบ่ายที่ผ่านมา เป็นครึ่งวันแรกที่ "ซิกเว่" รับตำแหน่งใหม่ที่ดีแทค เขาเริ่มงานใหม่ด้วยการเรียกประชุมผู้บริหาร เล่ากลยุทธ์ที่เขาอยากให้ทำด้วยภาษาที่ง่าย ๆ ชี้แจงที่มาที่ไปของการเปลี่ยนแปลงอย่างตรงไปตรงมา และใช้เวลาตลอดบ่ายจนถึงตอนเย็นเดินหาพนักงานทุกชั้น และไปเยี่ยมน้อง ๆ ที่ Call Center

ตอนค่ำ ๆ เขาโทร.มากึ่งเล่ากึ่งขอคำปรึกษาว่า เขาจะต้องเริ่ม "ออกเดิน" เยี่ยม และรับฟังความเห็นจากผู้คนนอกบริษัทโดยเร็ว ผมฟังน้ำเสียงของซิกเว่ก็รู้ถึงพลังและความตื่นเต้นอย่างน่าเอาใจช่วยไปด้วย

อาทิตย์นี้เป็นแค่จุดเริ่มต้น แต่แค่คิดถึงความเป็น "ซิกเว่ เบรกเก้" ที่ผมรู้จัก ผนวกกับประสบการณ์ใหม่ ๆ ที่เขาได้รับมา และความเป็นผู้นำของเขา ผมเองก็อดดีใจแทนคนใน "ดีแทค" ไม่ได้ รวมถึงดีใจแทนอุตสาหกรรมโทรคมนาคมโดยรวมไปด้วย เพราะการแข่งขันที่เข้มข้นกำลังจะเริ่มต้นขึ้นอีกครั้ง ถึงแม้จะยังไม่รู้ว่าใครจะชนะ แต่ที่แน่ ๆ ผู้ชม ลูกค้า และผมคงจะสนุกไปกับการแข่งขันรอบใหม่นี้แน่ ๆ

Credit:
brandbuffet

นี่นับได้ว่าแนวคิดและการกระทำมีผลมากมายเลยนะครับ ผมชอบเรื่อแนวคิดของเขาที่ว่า 
A strategy can not be too simple too focused or too actionable เป็นอะไรที่โดนใจมากครับ แล้วกลับมาพบกันใหม่กับ SimpleThings เรื่องง่ายๆที่คุณก็ทำได้ สวัสดีครับ

วันอังคารที่ 23 กันยายน พ.ศ. 2557

คุณกำลังเป็นซอมบี้ออฟฟิศอยู่หรือปล่าว

zombie-01zombie-01

วันนี้มาพบกับเรื่อง คุณกำลังเป็นซอมบี้ออฟฟิศอยู่หรือปล่าว ซึ่งใครว่าซอมบี้ไม่มีจริงคงต้องคิดใหม่เสียแล้วเพราะตอนนี้มีมนุษย์สายพันธ์ุใหม่ที่เรามักพบเจอในทุกวัน มักจะเกิดขึ้นกับ มนุษย์เงินเดือนทั้งหลาย เราเรียนมนุษย์เหล่านี้ว่ามนุษย์ “ซอมบี้ออฟฟิศ” ซอมบี้ออฟิศเหล่านี้มีลักษณทั่วไปอย่างไรบ้างไปรับชมกันเลยครับ เริ่้มที่อย่างแรกคือ

1 ใน 5 ต้องตั้งนาฬิกาปลุกตั้งเเต่ 3 รอบขึ้น ไป ถึงจะสามารถฟื้นร่างให้ตื่นออกมาทำงานได้ ซอมบี้บางคนตั้งนาฬิกาปลุกเป็น 10 รอบ ก็ยังไม่ฟื้นเเน่ว่าจะฟื้นขึ้นมาง่ายๆ ซึ่งสาเหตุ การฟื้นยากของซอมบี้ออฟิศเหล่าทั้งมากจาก ปาร์ตี้หนัก นอนดึกเมือคืน หรือเป็นพวกฟื้นยากอยู่เเล้ว เป็นต้น เเต่สาเหตุส่วนส่วนใหญ่ของการฟื้นยากเหล่านี้ ส่วนใหญ่มักจะมาจากการนอนไม่หลับในตอนกลางคืน ทำให้ในตอนเช้าไม่อยากตื่น เเละตื่นมาก็กลายเป็นซากมนุษย์เดินได้

33 % ของซอมบี้ออฟฟิศไม่นิยมเติมพละพลังในตอนเช้า(อาหาร เช้า)เเต่มักจะมาเพิ่มในตอนเที่ยงเเทน(อาหารเทียง) เพราะ เป็นผลมาจาก การฟื้นตัวยากในตอนเช้า ทำให้ไม่มีเวลาในการกินอาหารเช้าหรือบางตนก็ไม่ชอบกินอาหารเช้าเอาซะเลย นั้นทำให้ยิ่งทำให้เป็นซอมบี้ออฟฟิศมากขึ้นเเละซอมบี้ออฟฟิศส่วนใหญ่ที่ไม่ ชอบทานอาหารเช้าก็มันจะหาสิ่งมาทดเเทนพลังงานในตอนเช้าที่เราเรียกว่า “คาเเฟอีน”

75 % ของซอมบี้ออฟฟิศจึงนิยมบริโภคกาเเฟเป็นอาหารเช้าเเทนมาก เพราะ คิดว่าจะได้ส่งผลให้ร่างกายตื่นตัวมากกว่านี้เเต่เเท้จริงเเล้วยิ่งกินกาเเฟ เป็นอาหารเช้ามากเท่าไหร่ก็ยิ่งกระตุ้นสารในร่างกายทำให้คุณกลายเป็นซอมบี้ ออฟฟิศมากขึ้น

      เรื่องอารมณ์ของซอมบี้ออฟฟิศในวันนั้นทั้งวันไม่ต้องพูดถึง ยิ่งซอมบี้ออฟฟิศเพศหญิงมักจะเหวี่ยง หงุดหงิดง่ายกว่าวันที่ประจำเดือนของเธอมาซะอีก ดั้งนั้นถ้าพบเจอซอมบี้ออฟฟิศเพศหญิงในวันนั้นโปรดระวังตัวของคุณไว้…

 นอกจากนี้ ซอมบี้ออฟฟิศส่วนใหญ่จะยังไม่สามารถทำงานได้เต็มที่จนกว่าจะครบ ชั่วโมงหลังจากตื่นนอนอีกด้วย 

zombie-02
ใครว่าเป็นซอมบี้จะต้องเกิดจากถูกกัดอย่างเดียว
      ไหนลองให้คุณมาเช็คตัวคุณว่าเป็น ศพเดินได้ เอ๊ย!  ซอมบี้ออฟฟิศหรือเปล่า ?   กับ อาการดังกล่าวนี้

1. หลับลึกตื่นยาก ต่อให้ตั้งปลุกสัก 10 รอบก็ทำอะไรซอมบี้ออฟฟิศไม่ได้จ้ะ
2. ไม่ทานอาหารเช้า กินอาหารเช้าไม่ทันจัดหนักตอนเที่งหรือตอนเย็นละกัน
3. ดื่มกาแฟทุกเช้า พลังงานสำคัญที่ขาดไม่ได้
4. อดหลับอดนอน  เเหมมมม ก็ตอนกลางคืนมันชอบตาสว่าง รู้ตัวอีกทีก็เเทบจะนอนตอนเช้าซะเเล้ว
5. หงุดหงิดง่าย งัวเงียทั้งวัน อย่ามากวนเซ่ คนจะหลับจะนอน เอ๊ยทำงาน

      ถ้าคุณพบเจอคนที่มีอาการเข้าข่ายนี้เเบบนี้หรือเเม้เเต่ตัวคุณเองให้รีบเปลี ยนการใช้ชีวิตเถอะ เพราะ ยิ่งปล่อยให้นานไปคุณอาจกลายร่างเป็นซอมบี้ออฟฟิศร่างสมบูรณ์เเบบมากกว่านี้ ก็เป็นได้

zombie-03

หนทางสู่การเลิกเป็นซอมบี้ออฟฟิศ
1.นอนให้เร็ว เเละงดเรื่องเครียดก่อนนอน การพักผ่อนไม่เพียงพอนั้นเป็นสาเหตุหลักที่ทำให้เกิดซอมบี้ออฟฟิศได้ง่าย เพราะพักผ่อนไม่เพียงทำให้ความกระฉับกระเฉง หรือความสดใสในการเริ่มต้นวันใหม่หายไป ยิ่งทำให้คุณหงุดหงิดทั้งวันอีกด้วย

2.กินอาหารเช้า ให้เป็นนิสัย  บังคับตัวเองให้เป็นนิสัย มื้อเช้าเป็นมื้อที่สำคัญที่สุด ไม่เพียงเติมพลังงานให้ร่างกายและสมอง ให้ทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพตลอดวัน อาหารเช้ายังป้องกันโรคเบาหวาน หัวใจและโรคอ้วนได้อีกด้วย

3.ยืดเส้ยยืดสาย บ้าง ใน 1 วัน ถ้าคุณไม่ยอมขยับร่างกายเสียเลย ไม่มีการบริหารให้ถูกใช้อย่างสม่ำเสมอก็อาจทำให้เกิดอาการปวดเมื่อยกล้าม เนื้อ เมื่อจะกลับมาทำอีกที ก็เป็นหนักไปซะเเล้ว

4.หลีกเลี่ยงคา เเฟอีน ก็รู้ว่ามันไม่ดี เเต่ก็เลิกไม่ได้สักที เอาเป็นว่า ดื่มแต่น้อย หากเลี่ยงได้ก็ควรเลี่ยง เปลี่ยนทานอาหารเช้าแทน

5.เริ่มต้นทำตั้งเเต่วันนี้ อย่ามัวรีรอ สุขภาพชีวิตดีเริ่มที่ได้ที่ตัวคุณเอง ปฎิบัติ !!!    เปลี่ยนการใช้ชีวิตง่ายๆ เพียงพักผ่อนให้เพียงพอ รับประทานอาหารเช้าทุกวัน พยายามหลีกเลี่ยงคาเฟอีน เท่านี้คุณก็เป็นมนุษย์ที่สดใส มีชีวิตชีวา ไม่เดินเป็นผีดิบไปไหนต่อไหนอีกต่อไป…


เป็นอย่างไรกันบ้างครับกับ คุณกำลังเป็นซอมบี้ออฟฟิศอยู่หรือปล่าว เห็นอย่างนี้แล้วอย่าลืมปรับปรุงนะครับจะได้ไม่เป็น ซอมบี้ นะครับผม แล้วกลับมาพบกันใหม่กับ SimpleThings เรื่องง่ายๆที่คุณก็ทำได้ สวัสดีครับ

วันจันทร์ที่ 22 กันยายน พ.ศ. 2557

รู้หรือไม่ งานที่ยากสุดๆ ของ Programmer คืออะไรกันแน่นะ

วันนี้มาพบกับ รู้หรือไม่ งานที่ยากสุดๆ ของ Programmer คืออะไรกันแน่นะ คุณคิดว่างานอะไรงานอะไรมันยากมากที่สุดถ้าคุณเป็น programmer ลองมาดูกันครับว่าคุณคิดเหมือนกันหรือปล่าวครับรับชมข้อมูลกันได้เลย

เห็น post ใน Facebook มาเกี่ยวกับ งานที่ยากสุดๆ ของ programmer
เห็นว่าน่าสนใจเลยหาข้อมูลต่อพบว่า
ซึ่งเป็นผลสรุปจาก ITWORLD.COM ออกมาตั้งแต่เดือนตุลาคม ปี 2013
โดยนำข้อมูลมาจากการพูดคุยใน Quora และ Ubuntu Forums
รวมๆ แล้วเป็นผลมาจาก 4,522 vote มาดูผลดีหว่า ว่าโดนใจไหม
จากที่ share กันมาน่าจะมาจาก Reddit ที่มีการพูดคุยในเรื่องนี้

เริ่มต้นด้วยภาพสรุปก่อนเลย

ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อว่างานที่ยากที่สุดจาก programmer ส่วนใหญ่ก็คือ
  • การตั้งชื่อ
  • การอธิบายว่าตัวเองทำอะไร
  • การประเมินเวลาที่ใช้พัฒนา
  • การทำงานร่วมกับคนอื่นๆ
  • ทำงานกับ code ของชาวบ้าน
Screen Shot 2557-09-12 at 8.14.39 PM

มาดูคำอธิบายกันหน่อย

คนทั่วไปที่ไม่อยู่ในสายพัฒนา software มักจะมองว่างานพัฒนานั้นเป็นเรื่องที่ยาก
แต่เมื่อมีการสำรวจจากนักพัฒนากลับพบว่า
การเขียน code นั้นไม่ได้เป็นปัญหาแต่อย่างใด
แต่กลับมีปัญหาอื่นๆ ดังนี้

อันดับที่ 9 การออกแบบ เพื่อหาทางแก้ไขปัญหา

สิ่งที่ท้าทายก็คือ สิ่งที่ออกแบบและสร้างขึ้นมานั้นมันตรงกับความต้องการของลูกค้า
ซึ่งความยากอยู่ที่ว่าจะเริ่มจากตรงไหน ผ่านอะไร และไปจบที่ใด
ดังนั้น ถ้าออกแบบไว้ไม่ดี สิ่งที่สร้างออกมาก็อาจจะแย่

อันดับที่ 8 การเขียน test

คือการเขียน unit test เพื่อทำให้แน่ใจว่าสิ่งที่พัฒนาขึ้นมานั้นทำงานได้อย่างถูกต้อง
ซึ่งช่วยลดความผิดพลาด และช่วยหาจุดที่ผิดได้เร็วขึ้น
รวมทั้งช่วยลกเวลาการทำ regression test ด้วย
สิ่งที่ท้าทายก็คือ จะเลือก test case ไหนมาเขียน test ดี
และทุกๆ คนมีความรู้สึกว่า งานมันจะเพิ่มจากเดิมอีกนะ

อันดับที่ 7 เขียนเอกสาร

หมายถึง การ comment code และ เอกสารมาตรฐานที่ต้องเขียน
เช่น User manual, Installation เป็นต้น
ความท้าทายก็คือ มันเป็นงานที่กินเวลาอย่างมาก
และสิ่งที่ทำออกไปมันเหมือนขยะ เพราะว่าไม่มีใครอ่านเลย
ดังนั้น สิ่งที่ programmer มักจะพูดออกมาเสมอ เพื่อปฏิเสธการเขียนเอกสาร ก็คือ
code ของผมนั่นแหละคือ เอกสาร
คำพูดที่เสียดแทงสำหรับการเขียนเอกสารก็คือ
เราเขียนเอกสารที่ไม่มีใครใช้ ไม่มีใครอ่าน ก็เนื่องจาก process นั่นเอง

อันดับที่ 6 การสร้างระบบงานที่เราไม่เห็นด้วย

ต้องสร้างหรือพัฒนาระบบหรือ feature ที่ไร้สาระ
โดย programmer คิดว่าผู้ใช้งานไม่ได้ต้องการเลย
แต่ต้องทำเพราะว่า คนที่สั่งคือคนที่ประเมินคุณ ดังนั้นก็ก้มหน้าก้มตาทำไปซะ อย่าพูดมาก
สิ่งที่มันท้าทายก็คือ ต้องทำงานกับสิ่งที่ตนเองมีคำถามอยู่ตลอดเวลา
ซึ่งมันจะขัดแย้งกับตัวเอง ทำให้ใช้เวลาและความพยายามสูงกว่าปกติ

อันดับที่ 5 ไปทำงานหรือแก้ไข code ที่มีอยู่แล้ว (Working with Legacy code)

ความท้าทายก็คือ ต้องใช้ความพยายามเพื่อทำความเข้าใจการทำงานของ code
ซึ่งมันจะยากมากๆ ถ้า code นั้นมันห่วย
แต่เชื่อไหมว่า programmer คนนั้นก็กำลังสร้าง Legacy code ขึ้นมาอีกชุดเช่นเดียวกัน
มีรูปขำๆ มาให้ดูเล่น
รูปจาก abstrusegoose.com

อันดับที่ 4 การทำงานร่วมกับผู้อื่น

เช่น การพูดคุยเพื่อสรุป requirement กับลูกค้า
การสรุปสถานะของงานเพื่อรายงานผู้บริการ
การทำงานร่วมกับ tester
การทำงานร่วมกับ programmer คนอื่นๆ
เชื่อไหมว่า นี่คือ ปัญหาของ programmer เพราะว่ามีโลกส่วนตัวสูง
รวมทั้งพูดกับใครก็ไม่รู้เรื่อง
บ่อยครั้งที่พยายามเรื่องเชิง technical ให้คนที่ไม่รู้เรื่องฟัง
และมักจะมีความเห็นที่ขัดแย้งกับคนอื่นๆ เช่น tester เป็นต้น

อันดับที่ 3 programmer เป็นกลุ่มคนที่ประเมินเวลาการทำงานได้ห่วยแตกมากๆ

ปัญหามาจากการเดาล้วนๆ เพราะว่า ต้องมาประเมินเวลาของสิ่งที่ยังไม่เคยทำมาก่อน
และการต้องมานั่งประเมินเวลาของ requirement ทั้งหมด มันเสียเวลาอย่างมากมาย

อันดับที่ 2 อธิบายให้คนอื่นรู้ว่าทำอะไร หรือจะไม่ทำอะไร

เป็นสิ่งที่ยากสำหรับ programer มากๆ ว่า จะอธิบายให้คนอื่นๆ รู้ได้อย่างไร
เช่นจะอธิบายให้ญาติพี่น้อง คนในครอบครับ รู้ได้อย่างไร
ว่างาน programmer มันคืออะไร
รวมทั้งอธิบายให้คนในบริษัทรู้ด้วยว่า ตัวเองกำลังทำอะไร แบบภาษาคนทั่วไปรู้เรื่อง

อันดับที่ 1 การตั้งชื่อ (ชื่อนั้นสำคัญไฉน)

ว่าด้วยเรื่องของการตั้งชื่อตัวแปร method คลาส object และ database
เป็นเรื่องที่ไม่น่าเชื่อ ว่ามันคืองานที่ยากสุดๆ ของ programmer
ความท้าทายก็คือ ในการสร้างระบบหนึ่งๆ ขึ้นมานั้น ต้องการการตั้งชื่อมากมาย
ดังนั้น การเลือกชื่อที่ดีและเหมาะสมเป้นงานที่ไม่ง่ายเลย
แต่ผมก็ไม่แน่ใจนะว่า a,b,c,i,j,k,x,y,z ทำไมมันมักมีอยู่ใน code เสมอเลย

แล้วคุณล่ะ คิดว่า งานอะไรที่มันยากสุดๆ สำหรับคุณ ?

Credit:ITWORLD

เป็นอย่างไรกันบ้าง หลายๆท่านเป็นแบบนี้กันหรือไม่ครับ ฮาๆๆ แล้วกลับมาพบกันใหม่กับ 
SimpleThings เรื่องง่ายๆที่คุณก็ทำได้ สวัสดีครับ

วันอาทิตย์ที่ 21 กันยายน พ.ศ. 2557

ขวดน้ำแนวใหม่ !! บางเฉียบไม่เหมือนใคร


         วันนี้มาพบกับนวัตกรรมใหม่ที่รูปลักษณ์ของขวดน้ำได้เปลี่ยนไปกลายไปเป็นเหมือนกระดาษ A4 ด้วยรูปลักษณ์ที่เปลี่ยนไปจะมีอะไรบ้างที่เมื่อเปลี่ยนไปแล้วมีประโยชน์กับเราบ้างมาดูกันครับ    
  นวัตถกรรมแนวใหม่ที่ออกแบบมาได้เก๋ไก๋ไม่เบา นั่นก็คือ เจ้าขวดใส่น้ำ “memobottle”  ที่มีรูปลักษณ์ที่ไม่เหมือนขวดน้ำที่เราเคยเห็นกัน แต่กลับมีรูปร่างที่บาง ทำให้พกพาสะดวก ประหยัดเนื้อที่ในการพกพาอีกด้วย  โดยเจ้าขวดใบนี้ผลิตจากพลาสติกBPA ที่สามารถใช้เครื่องล้างจานล้างได้ แถมยังสามารถนำกลับมาใช้ใหม่ได้ แถมเจ้าขวดเมโมนี้ยังมีหลายขนาดด้วยกัน คือไซต์จดหมาย A4 และ A5
          ทว่าเจ้าขวดเมโมนี้ยังไม่มีการผลิตออกมาแต่อย่างใด คงต้องจับตามองกันต่อไปว่าเจ้าขวดเมโมนี้จะผลิตมาให้ผู้คนได้ใช้เมื่อไหร่ ต้องจับตาดูกัน

Credit: design-milk.com

เป็นไงครับกับดีไซน์ของขวดน้ำรูปแบบใหม่ น่าใช้ดีใช่ไหมครับ เห็นแล้วอยากได้สักอันจัง ฮาๆ แล้วกลับ
มาพบกับ SimpleThings เรื่องง่ายๆที่คุณก็ทำได้ สวัสดีครับ

‘น้องคะน้า’ สาวสวยสารคาม สู้ชีวิต...สานฝัน จากเด็กเก็บขยะสู่เศรษฐีพันล้าน!!

วันนี้มาพบกับสาวสู้ชีวิต จากชีวิตที่รันทด ใจสู้ จนพิชิตเงินล้าน และยืนอยู่ได้ด้วยตัวเอง มาพบกับเรื่องราวของสาวสวยคนนี้ได้เลยครับ กับ ‘น้องคะน้า’ สาวสวยสารคาม สู้ชีวิต...สานฝัน จากเด็กเก็บขยะสู่เศรษฐีพันล้าน!!

ชีวิตของคนเรามีทั้งด้านดีและด้านไม่ดี มีทั้งรวยและจน อยู่ที่แต่ละคนจะเลือกว่าอยากมีความสุขหรือความทุกข์ แต่สำหรับน้อง ’คะน้า“ หรือ ภัทร์ภัสสร ธนาเสฎฐ์หิรัญ สาวสวยจากจังหวัดมหาสารคาม วัย 29 ปี ได้เลือกเส้นทางชีวิตให้ตัวเองด้วยการตั้งเป้าไว้ว่า “อยากรวย” เพื่อช่วยเหลือพ่อแม่ที่เป็นหนี้นับล้าน และเพื่อนมนุษย์ด้วยกันไม่ใช่เพื่อความสุขสบายของตัวเอง จากเด็กเก็บขยะกลายเป็นเศรษฐีพันล้านได้อย่างไร วันนี้เราจะมาทำความรู้จักกับเธอ พร้อมเรื่องราวเคล็ดลับการเป็นเศรษฐีและปรัชญาดี ๆ เพื่อใช้ในการดำเนินชีวิต  
“ตั้งแต่จำความได้ครอบครัวของเรา    มีฐานะปานกลาง พ่อแม่ทำงานรับราชการ คะน้ามีน้องชาย 1 คน ซึ่งชีวิตความเป็นอยู่ ของครอบครัวก็ปกติทั่วไป เมื่อย่างเข้าสู่วัยนักศึกษา ชีวิตก็เปลี่ยนไปเพราะครอบครัว   โดนโกง เนื่องจากคุณพ่อไปช่วยค้ำประกันให้คนอื่น จึงต้องใช้หนี้แทนคนที่มาขอให้ช่วยค้ำประกันซึ่งเป็นเงินประมาณ 2 ล้านบาท พ่อ  กับแม่ต้องทำงานพิเศษเพิ่มเพื่อช่วยวิกฤติภายในครอบครัว ครอบครัวคะน้าไม่ปิดบังลูกเวลามีปัญหาอะไรจะบอกเล่าให้กันฟัง พอทราบเรื่องรู้สึกสงสารพ่อกับแม่มาก สิ่งไหนที่พอจะช่วยประหยัดได้ก็จะช่วย” 
นับจากวันนั้น ครอบครัวของเธอคนนี้ จึงเหมือนกลับไปเริ่มต้นจากศูนย์ คะน้าเองต้องเรียนรู้ว่าจะใช้ชีวิตอยู่อย่างไรไม่ให้เป็นภาระของครอบครัว คือไม่ใช้เงินเปลือง รวมทั้งช่วยทำงานต่าง ๆ ที่จะให้ได้เงินมา เช่น วันเสาร์ อาทิตย์รับเสื้อผ้าไปขายหรือเอาเสื้อผ้าเก่าไปขายที่ไนท์บาซาร์ หรือตามเทศกาลต่าง ๆ รวมถึงเก็บใบตองมาพับกระทงขายในเทศกาลลอยกระทง ซึ่งใบตองได้มาฟรีทำให้ได้เงินเยอะโดยไม่ต้องลงทุน หรือเห็นเศษผ้าเหลือใช้ก็เก็บมาทำริบบิ้นส่งขายตามร้านขายผลไม้และร้านขายกระเช้าของขวัญในตัวเมือง 
กลายเป็นว่ายอดขายของทั้งปีได้เงินจากการนำของเหลือใช้จากคนอื่นมาต่อยอด หลังเลิกเรียนจึงรีบกลับบ้านมานั่งทำของขาย ไม่เคยไปเที่ยวสังสรรค์ปาร์ตี้   กับเพื่อน ๆ ซึ่งความจริงแล้วถ้าเป็นชีวิตของคนอื่น ๆ คงจะเป็นสังคมที่ต้องมีเพื่อนมีสนุกสนานเฮฮาปาร์ตี้ แต่เรารู้หน้าที่ว่าควรจะอยู่ช่วยครอบครัวเป็นกำลังใจให้พ่อกับแม่ ถ้าคะน้าไม่อยู่ข้างพ่อแม่แล้วใครจะอยู่ และเขาต้องมานั่งเป็นห่วงลูกอีกว่าจะเป็นอย่างไรกลับบ้านหรือยัง สู้เราอยู่ใกล้ ๆ นั่งทำงานให้เห็นได้เงินมาก็นำมาช่วยกันจ่ายค่าน้ำค่าไฟ ถึงแม้ว่าโบอันหนึ่งจะได้เงินแค่  5-10 บาท แต่เงินเล็ก ๆ น้อย ๆ รวมกันทั้งปีก็ได้เป็นหลักหมื่นเหมือนกัน
“นอกจากนี้ช่วงปิดเทอมหรือหลังโรงเรียนเลิกจะไปเก็บกระป๋องโค้กและขวดน้ำที่ตกอยู่ตามพื้นมาชั่งกิโลขาย ถือว่าเป็นการช่วยให้บ้านเมืองสะอาดด้วย หากวันไหนที่เห็นว่าคนน้อยมากก็รื้อเก็บจากถังขยะเลย แต่ถ้าคนเยอะ ๆ จะไม่ทำเราต้องให้เกียรติคนอื่นด้วย พูดจริง ๆ ไม่ใช่ว่าเพราะอาย บอกได้เลยว่าคะน้าไม่อายในสิ่งที่ทำ เพราะคิดอย่างเดียวว่าอยากได้เงินมาช่วยพ่อกับแม่ และสิ่งที่ทำมันเป็นเรื่องดี ตรงกันข้ามกลับรู้สึกภาคภูมิใจด้วยซ้ำ“
อีกอย่างด้วยความที่น้องคะน้าเป็นคนผิวขาว ตัวเล็ก และดูโดดเด่นในวัยเรียนมหาวิทยาลัย ทำให้มีคนมาทาบทามขอเลี้ยงดู กระทั่งปัจจุบันก็ยังมีคนตามมาขอเลี้ยงดูในเฟซบุ๊กอยู่ แต่คะน้าปฏิเสธหมดเพราะสามารถหาเงินเองได้ ถ้าสมมุติเราเลือกที่จะให้คนเลี้ยงดูก็จะไม่มานั่งเก็บขยะหรอก เนื่องจากการที่ได้เงินมาง่ายและเร็วจะไม่รู้ค่าของเงินที่แท้จริง แต่การที่ได้เงินมาจากน้ำพักน้ำแรงของเราเองต่างหากที่เป็นตัวที่ทำให้รู้ค่า  ของเงิน การที่เรามาจากรากหญ้าก็ถือเป็นเรื่องดีที่ทำให้รู้จักคุณค่าของเงิน
หลังเรียนจบปริญญาตรี คณะสถาปัตย กรรม ที่มหาวิทยาลัยมหาสารคามแล้วก็มาทำงานประจำบริษัทในกรุงเทพฯ ตรงตามสาขาที่เรียนมา ได้เงินเดือน 18,000 บาท ถือว่าเยอะสำหรับคนต่างจังหวัด แต่สำหรับเราไม่พอช่วยพ่อแม่ เพราะค่าเช่าห้องพัก ค่าเดินทาง ค่าอาหาร ซึ่งค่าครองชีพในกรุงเทพฯ สูงมาก จึงคิดหางานพิเศษทำโดยไปเดินดูของขายที่สวนลุมไนท์บาซาร์ เจอสบู่มีกลิ่นหอมมากคนญี่ปุ่นรุมซื้อ จึงไปติดต่อรับเอามาขายและตั้งใจว่าจะออกแบบทำแพ็กเกจใหม่และส่งไปขายต่างประเทศ 
จุดเปลี่ยนของชีวิตเริ่มที่ตรงนี้เมื่อ   พกสบู่ติดตัวมาที่ทำงานด้วย เมื่อมีเวลาว่างในช่วงพักเที่ยงจะเอามาออกแบบแพ็กเกจ มีคนมาถามว่ากลิ่นอะไรหอมจังจึงขายสบู่ไปด้วย กลายเป็นว่าตัวเรากลายเป็นหน้าร้านขายสบู่ได้เงินวันละ 1,000 บาท รู้สึกดีใจมากน้ำตาไหลเลย เพราะเป็นการทำกำไรที่ดีมาก ต่างจากการทำงานทั้งเดือน 20 กว่าวันเพื่อจะได้เงิน 10,000 กว่าบาท แต่ขายสบู่ได้เงินวันละ 1,000 บาท จึงเห็นช่องทางแล้วว่าสบู่ช่วยทำเงิน จึงเปิดเว็บไซต์โพสต์ว่าขายสบู่ หลังจากนั้นเริ่มเจอลูกค้ามากขึ้น และลูกค้าถามว่ามีผลิตภัณฑ์อย่างอื่นอีกไหม จึงเป็นจุดเริ่มต้นในการนำผลิตภัณฑ์บำรุงผิวหน้ามาขาย
เมื่อเห็นความต้องการของตลาดว่าต้องการครีมบำรุงผิวหน้า จึงตัดสินใจเอาบัตรเครดิต 3 ใบรูดซื้อครีมมาหมดเลย 150,000 บาท และมีหน้าที่ขายให้หมดภายใน 1 เดือน เป็นครีมบำรุงผิวหน้าแบรนด์ธรรมดามาก แต่ขายได้ดีมาเรื่อย ๆ จนกระทั่งมีความรู้สึกว่าชอบครีมบำรุงผิวหน้ามาก แต่การขายของ ต้องรู้จริงว่าให้อะไรกับลูกค้าไป มีส่วนผสมอะไรบ้าง ตัวไหนเหมาะสมกับลูกค้า เพราะเราไม่ได้มีหน้าที่ขายอย่างเดียวแต่มีหน้าที่เป็นเพื่อนลูกค้าด้วย จึงลาออกจากงานไปศึกษาต่อปริญญาโทมหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง วิทยาเขตกรุงเทพฯ คณะวิทยาศาสตร์เครื่องสำอาง 
เมื่อเรียนจบได้ผลการเรียนที่ดีมากเพราะศึกษาเกี่ยวกับพฤติกรรมของผู้บริโภค เรื่องการขายและนำงานวิจัยเกี่ยวกับครีมเมล็ดลำไยมาต่อยอดให้ทางมหาวิทยาลัยไปใช้ได้   โดยทำการศึกษาจนรู้สูตรของครีมและทราบว่าปัญหาของผิวผู้หญิงไทยเกิดจากอากาศของเมืองไทยเป็นเมืองร้อน จึงคิดค้นผลิตภัณฑ์ที่ช่วยดูแลผิวคนไทยในราคาที่ย่อมเยา ซึ่งในช่วงที่เรียนและวิจัยผลิตภัณฑ์ของตัวเอง มีโอกาสรู้จักรุ่นพี่ที่เรียนจบจากมหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง และมีโรงงานผลิตสินค้าที่ผ่านจีเอ็มพีให้กับทางบริษัท ซีพีออลล์ จำกัด (มหาชน) หรือ เซเว่น อีเลฟเว่น (7- Eleven) จึงขอเข้าไปช่วยทำงานให้เขาฟรี ๆ ด้วยการรับออกแบบแพ็กเกจให้
รุ่นพี่เห็นเราเป็นเด็กขยันมีความตั้งใจจริง จึงให้โอกาสผลิตครีมลอตที่เราคิดค้นและแนะนำให้ไปขายในเซเว่นแคตตาล็อคจึงนำคอนเซปต์ไปพรีเซ็นต์ว่าครีมตัวนี้เป็นผลิตภัณฑ์บำรุงผิวจากธรรมชาติช่วยเก็บกักความชุ่มชื้นและนำพาสารสกัดได้ดี ช่วยหล่อเลี้ยงเข้าไปอยู่ในเซลล์ผิว ทำให้ผิวเกิดปัญหาน้อย แต่ทาง   เซเว่นแคตตาล็อคให้กลับไปแก้ 6 ครั้ง เช่น กล่อง ดีไซน์ แพ็กเกจ หลอดบรรจุภัณฑ์ ซึ่งใช้เวลานานถึง  6 เดือน ช่วงนั้นประหยัดอดออมมากรับประทานบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปแทนข้าว เพราะเงินในบัญชีเอาไว้จ่ายค่าเทอม และงานออกแบบสินค้าทำคนเดียวทุกอย่างทุกขั้นตอน
คะน้าสู้จนกระทั่งได้วางสินค้าแบรนด์ “เดิมมาดิก”ในเซเว่นแคตตาล็อคตั้งแต่เดือนตุลาคม 2556 ซึ่งใน 2 เดือนแรกยอดขายดีมาก ทางเซเว่น อีเลฟเว่น จึงให้โอกาสวางสินค้าขายบนชั้น สำหรับเงินที่ได้มาในช่วงแรกก็นำมาต่อยอดเพื่อวางสินค้าบนชั้น เพราะเซเว่น อีเลฟเว่น 7,350 สาขาทั่วประเทศ เราต้องสต๊อกของเองก่อน ซึ่งก็ได้รับความอนุเคราะห์จากรุ่นพี่ที่โรงงานช่วยผลิตของให้ก่อนแล้วค่อยเอาเงินมาจ่ายให้ 
ตอนนี้คะน้าสามารถปลดหนี้ให้พ่อกับแม่ได้แล้วภายในระยะเวลาไม่ถึง 1 ปี และให้ทั้งสองลาออกจากงานเพื่อใช้ชีวิตแบบสบาย แต่พ่อกับแม่ขออยู่บ้านเดิมไม่อยากได้บ้านหลังใหม่ และเดินทางมาหาคะน้าที่กรุงเทพฯ บ่อย ๆ ถึงครอบครัวเราจะไม่มีหนี้สิน และใคร ๆ ก็เรียกว่าเศรษฐี แต่เชื่อไหมว่าไม่ได้เปลี่ยนแปลงวิถีชีวิตของเราไปเลย คะน้ายังกินข้าวข้างทางเหมือนเดิม ยังนั่งรถเมล์เหมือนเดิม เพราะเรารู้ตัวว่ากำลังทำอะไรและมีเป้าหมายยังไง ซึ่งเป้าหมายคือทำบริษัทให้เป็นที่พึ่งพิงให้คนอื่นได้มาทำงาน ได้กระจายรายได้สู่ชุมชน จึงมุ่งไปที่การพัฒนาผลิตภัณฑ์ให้ดียิ่ง ๆ ขึ้นไปมากกว่า   
หวังว่าชีวิตของเด็กสาวสู้ชีวิตอย่าง “คะน้า”ภัทร์ภัสสร ธนาเสฎฐ์หิรัญ จะเป็นแรงบันดาลใจให้ใครหลายคนที่กำลังมองหาธุรกิจเพื่อสร้างรากฐานให้ชีวิตมีความมั่นคงได้ดำเนินรอยตาม แต่อย่าลืมว่าการจะมีโอกาสที่ดีได้นั้นต้องอาศัยความอดทน ความทุ่มเทแรงใจและแรงกาย เพื่อให้ได้มาซึ่งความสำเร็จ เพราะทุกอย่างในชีวิตไม่มีอะไรได้มาง่าย ๆ.
ปรัชญาการดำเนินชีวิต...แบบอย่างของความสำเร็จ
“ความกตัญญู” หลักการดำเนินชีวิตที่ดีของชีวิตของคะน้า คือตั้งแต่เรียนมหาวิทยาลัยมา 4 ปี ไม่เคยไปเที่ยวกับเพื่อนเลย ถามว่าอยากไปไหมใจจริงก็อยากไปอยู่ตามประสาวัยรุ่น แต่เพราะคำพูดของแม่คำเดียวที่ว่า “แม่ลำบากลูกยังขอเงินแม่ไปเที่ยวกับเพื่อนอีกหรือ แต่ก็อนุญาตให้ไปพร้อมกับยื่นเงินให้ 100 บาท” เราจึงร้องไห้แม่ก็ร้องไห้ ทำให้คิดได้ว่าถ้าทิ้งพ่อกับแม่ไว้และไปเที่ยวสนุกกับเพื่อนก็ไม่ใช่จึงตัดสินใจไม่ไป
“ความขยัน” “การมีแนวคิดจิตใจที่ดี” “คิดบวกชีวิตก็บวก” เช่น สินค้าลอตแรกที่เอาไปพรีเซ็นต์กับเซเว่น อีเลฟเว่น เราไม่มีเงินสักบาทเดียวที่จะไปผลิตของ แต่รุ่นพี่เจ้าของโรงงานก็ช่วยเพราะเห็นว่าเราเป็นคนขยันและมีความมุ่งมั่น คือบอกเขาเลยว่าเราไม่มีเงิน แต่ช่วยหนูด้วยนะหนูสัญญาว่าจะหาเงินมาคืน มันเป็นความอดทนที่ใครหลายคนคิดไม่ถึง แค่คิดใจเราก็ไปถึงแล้ว มือเรา สมองเรา และอวัยวะทุกอย่างจะผลักดันเราไปเอง แต่ถ้าไม่เริ่มคิดเราก็อยู่ที่เดิม...
“การนอบน้อมถ่อมตน” เป็นเครื่องช่วยเบิกทางในการรับความช่วยเหลือต่าง ๆ ถ้าเรามีความนอบน้อมถ่อมตน เวลาไปขอความช่วยเหลือจากผู้ใหญ่หรือคนอื่นๆ ย่อมได้รับความช่วยเหลือตอบกลับมาอย่างแน่นอน แต่ก็ไม่ลืมที่จะตอบแทนสังคมที่ให้โอกาสดี ๆ แก่เราด้วย เช่น การที่คะน้าไปบรรยายหรือให้ความรู้แก่นักศึกษาจะไม่รับเงินค่าตัวเลย แต่บริจาคให้เป็นทุนการศึกษาของน้อง ๆ ต่อไป 
“การยอมรับความจริง” ธรรมะทำให้เห็นถึงความจริง การไม่ปฏิเสธความจริงจะไม่ทุกข์ ถ้าเราเข้าใจความเป็นธรรมชาติของตัวเองตั้งแต่แรกว่าเป็นอย่างไร เช่น เป็นคนจนแต่สามารถค่อย ๆ พัฒนาจนรวยได้ จะทำให้เราก้าวไปได้อย่างมั่นคง แต่สุดท้ายแล้วความรวยไม่ได้ทำให้เรามีความสุขเพิ่มขึ้น หรือความจนไม่ได้ทำให้เรามีความทุกข์มากขึ้น คนเรามีความสุขเท่าเดิมไม่ว่าจะรวยหรือจน เพราะถ้ายอมรับความจริงในชีวิตได้ก็แปลว่ามีความสุขอยู่แล้ว...
ชญานิษฐ คงเดชศักดา

Credit :news
แล้วกลับมาพบกับ SimpleThings เรื่องง่ายๆที่คุณก็ทำได้ สวัสดีครับ

วันเสาร์ที่ 20 กันยายน พ.ศ. 2557

วิธีและยุทธวิธีป้องกันเหตุการณ์ชักหน้าไม่ถึงหลัง

ยุทธวิธีป้องกันเหตุการณ์ชักหน้าไม่ถึงหลัง 


               เห็นว่าช่วงนี้มีกลายๆคนเริ่มบริหารด้านการเงินเริ่มตัวแดงผมจึงเอาเรื่องนี้มาบอกกับทุกคนลองรับชมข้อมูลกันครับกับ วิธีและยุทธวิธีป้องกันเหตุการณ์ชักหน้าไม่ถึงหลัง ซึ่งหลายคนคงเคยได้ยินคำว่า "ชักหน้าไม่ถึงหลัง" กันใช่ไหม ฟังดูเป็นคำที่ค่อนข้างน่ากลัวและเชื่อว่าคงไม่มีใครอยากให้เหตุการณ์แบบนี้เกิดขึ้นกับตัวเองแน่ ๆ เพราะถึงแม้ว่าเราจะหารายได้มาเท่าไหร่ก็ไม่เพียงพอต่อค่าใช้จ่ายในแต่ละเดือนของเราสักที ซึ่งปัญหานี้ในปัจจุบันได้กลายมาเป็นปัญหาระดับประเทศที่ทำให้ตัวเลขหนี้ภาคครัวเรือนสูงสุดในรอบ 9 ปีอีกด้วยค่ะ เพื่อเป็นการป้องกันไม่ให้เหตุการณ์ชักหน้าไม่ถึงหลังเกิดขึ้น เรามียุทธวิธีในการป้องกันมานำเสนอ

 

          1. สำรวจค่าใช้จ่ายในชีวิตประจำวัน ลองสำรวจและคำนวณค่าใช้จ่ายของเราในแต่ละเดือนดูนะคะว่าใน 1 เดือน เราต้องจ่ายเงินให้กับค่าใช้จ่ายเหล่านี้เท่าไหร่ โดยเราสามารถแบ่งค่าใช้จ่ายออกเป็น 2 ประเภท ดังนี้

 

             ค่าใช้จ่ายคงที่ หรือค่าใช้จ่ายที่เราต้องจ่ายเป็นจำนวนเงินที่แน่นอนในแต่ละเดือน เช่น ค่าผ่อนบ้าน ผ่อนรถ 

             ค่าใช้จ่ายผันแปร หรือค่าใช้จ่ายที่มีจำนวนเงินไม่เท่ากันในแต่ละเดือน ขึ้นอยู่กับการใช้จ่ายของเราในเดือนนั้น ๆ เช่น ค่าอาหาร ค่าเดินทาง ค่าท่องเที่ยวต่าง ๆ

            หากพบว่ารายรับของเราไม่เพียงพอกับรายจ่ายต่าง ๆ ที่เกิดขึ้น เราควรปรับลดค่าใช้จ่ายผันแปรลงค่ะ เช่น ลดค่าอาหารลง ใช้ไฟฟ้าให้น้อยลงเพื่อช่วยประหยัดค่าไฟ เป็นต้น

 

          2. ผ่อนสินเชื่ออย่างถูกวิธี ลองสำรวจดูนะคะว่าในแต่ละเดือนเรามีภาระต้องผ่อนสินเชื่ออะไรบ้าง แล้วสินเชื่อไหนมีดอกเบี้ยสูงที่สุดก็ให้จ่ายสินเชื่อนั้นก่อน เช่น ถ้าเรามีภาระต้องผ่อนบ้าน ผ่อนรถ และผ่อนสินเชื่อบุคคล ในเดือนที่เรามีเงินเหลือ เราควรเลือกจ่ายสินเชื่อบุคคลให้มากขึ้นเนื่องจากเป็นสินเชื่อที่มีอัตราดอกเบี้ยสูงที่สุด โดยมีอัตราดอกเบี้ยอาจสูงถึง 28% ต่อปี

 

          3. หลีกเลี่ยงการกู้ยืมเงินนอกระบบ หากเราสามารถจัดการกับรายจ่ายต่าง ๆ และรู้หลักการผ่อนสินเชื่ออย่างถูกวิธีแล้ว สบายใจได้เลยค่ะว่าเราจะไม่เจอกับเหตุการณ์ชักหน้าไม่ถึงหลังในเร็ววันนี้แน่ ๆ แต่ถ้าหากไม่เป็นเช่นนั้น เราอาจจะมืดแปดด้านจนต้องหันไปพึ่งเงินกู้นอกระบบซึ่งเป็นวิธีที่ไม่แนะนำเลยค่ะ เพราะจะทำให้เราเป็นหนี้ไม่สิ้นสุด นอกจากต้องเสียดอกเบี้ยที่สูงแล้ว หากหมุนเงินไปจ่ายไม่ทัน เรายังต้องเสี่ยงกับการถูกทวงหนี้แบบสุดโหดดังที่เห็นเป็นข่าวกันอยู่ก็เป็นได้

ที่มา : ธนาคารกสิกรไทย

เป็นอย่างไรกันบ้างครับ หวังว่าทุกคนจะได้ความรู็เกี่ยวกับ วิธีและยุทธวิธีป้องกันเหตุการณ์ชักหน้าไม่ถึงหลัง กันอย่างเต็มเปี่ยมนะครับผม แล้วกับมาพบกับ
 SimpleThings เรื่องง่ายๆที่คุณก็ทำได้ สวัสดีครับ

วันศุกร์ที่ 19 กันยายน พ.ศ. 2557

ไอเดีย สุดเจ๋ง! กับกระเป๋าตังจากถุง Starbucks



 วันนี้มาพบกับไอเดียสุดเจ๋งที่คุณเห็นแล้วคุณจะไม่อยากโยนเจ้าถุงใบนี้ทิ้งอีกเลย จากถุงสุดธรรมดาใส่ไอเดียสุดบรรเจิดลงไปกลายเป็นกระเป๋าตังที่ไม่เหมือน ใครและไม่มีใครเหมือน กับกระเป๋าตังจากถุง Starbucks ทำอย่างไรบ้างลองไปดูกันเลย

วัสดุ
1. Starbucks ถุงกระดาษ
2 กาวสองด้าน





ขั้นที่ 1
ปฏิทินกระดาษแบนและสหรัฐอเมริกาด้วยมีดตัดตามเส้นพับ



ขั้นที่ 2
ถุงกระดาษขนาดใหญ่ที่จะถูกทำลายลงไปห้าแผ่นกระดาษ



ขั้นที่ 3
ขั้นแรกมาวัดขนาดของธนบัตรที่ใหญ่ที่สุดของเรากับถุง



Step4
แล้วพับกระดาษที่ปกคลุมไปด้วยบันทึก



Step5
กระดาษพับเป็นสามส่วนเท่ากันในขณะนี้เห็นว่าด้านข้างเพื่อให้ครอบคลุมกระเป๋าสตางค์



Step6
แล้วสองเท่าที่อยู่ใกล้เคียงภายใน



Step7
ตัดตรงกลางด้วยกรรไกร



Step8
ทั้งสองฝ่ายพับเข้าด้านใน



Step9
แล้วพับลงด้านบน



Step10
แล้วพับด้านล่างขึ้น



STEP11
จากนั้นทั้งสองฝ่ายด้วยกาวสองด้าน



Step12
ภายในพับอีกครั้งและมันติดอยู่ที่จะปิดตายเพื่อที่จะไม่ให้บัตรหล่นออกมา



Step13
ในด้านอื่น ๆ นอกจากนี้ยังมีของทั้งสองฝั่งให้เหนียว



Step14
 ~ ~ พื้นที่ธนบัตรเสร็จสมบูรณ์



กระดาษกระเป๋าสตางค์ - การทำช่อง:

Step15
แล้วหยิบเอาแผ่นกระดาษกาวสองด้านอื่นวางฐานแรกไปที่วัด



Step16
ทาบบัตร



Step17
แล้วพับขึ้น แต่ไม่ได้มีบัตรครอบคลุมที่นี่เพื่อออกจากเล็ก ๆ น้อย ๆ ที่จะโชว์บัตร



Step18
จากนั้นทั้งสองฝั่งพับเข้าด้านใน

ปัญหาเหม่ย - รีไซเคิล "Starbucks ถุงอาหารเช้าจะไม่สูญเสีย!  "แฟชั่นกระเป๋าสตางค์ แต่ยังลิ้มรสกระดาษโฮมเมด


Step19
ที่นี่นิด ๆ หน่อย ๆ ที่ติดอยู่ในความสูงของไพ่สามใบ



Step20
เพิ่มเติมจากส่วนล่างลงไปด้านล่างที่จะไป



Step21
เพื่อให้ได้ชั้นแรกของช่องบัตรที่จะใส่ เสร็จ!



Step22
เพียงแค่ทำซ้ำขั้นตอนที่แล้วมากับแผ่นกระดาษอีกแล้วสองเท่าที่อยู่ใกล้เคียงภายใน



Step23
ภายใต้การดูแลของช่อง แต่จะพบว่าช่องที่พับ ช่องละ 1.5cm ของพื้นที่ที่เป็นเพียงไพ่ใบแรกสัมผัสกับพื้นที่



Step24
ด้านล่างของวางกาวสองด้าน



Step25
ขึ้นไปข้างบนพับสองด้านกาวสองด้านแล้ววาง



Step26
สองพับด้านข้างภายในและทากาวให้เหนียว



Step27
ชั้นที่สองเป็นที่เรียบร้อยแล้ว



Step28
แล้วชั้นที่สองยัดเพียงชั้นแรก



Step29
นี้เสร็จสมบูรณ์ภายในชั้นสอง เย้!

ปัญหาเหม่ย - รีไซเคิล "Starbucks ถุงอาหารเช้าจะไม่สูญเสีย!  "แฟชั่นกระเป๋าสตางค์ แต่ยังลิ้มรสกระดาษโฮมเมด

Step30
แล้วก็ทำชั้นที่สามเสร็จสมบูรณ์



Step31
จากนั้นก็ทำอีกฝั่งนึง ก็จะได้ที่เก็บบัตร 5 ช่องแล้ว



Step32
ตรวจดูช่องใส่ธนบัตร



Step33
กระเป๋าช่องเล็ก ๆ โอเค!




Step34
แล้วเราก็มีช่องสำหรับใส่บัตรด้านหลัง



Step35
บัตรประชาชนและบัตรประกันสุขภาพสามารถอยู่ในช่องขนาดเล็กนี้ดู



Step36
ใส่ธนบัตรลงไป ในกระเป๋าสุดเจ๋งของเรา



Step37
พับขึ้นด้านหน้าว่าใบหน้าของสตาร์บัคโลโก้



Credit:minwt

video:



เป็นยังไงละ ไอเดียเจ๋งไปเลยช่ายม๊าาาา กับกระเป๋าตังจากถุง Starbucks เห็นแล้วอยากได้สักอัน อิอิ แล้วกับมาพบกันใหม่กับ SimpleThings เรื่องง่ายๆที่คุณก็ทำได้ สวัสดีครับ