วันพฤหัสบดีที่ 27 พฤศจิกายน พ.ศ. 2557

เรื่องราวของคนใจกว้างและใจแคบ

วันนี้ได้มีโอกาสอ่านเรื่องนี้แล้วคิดว่าได้อะไรหลายๆอย่างเลย นำมาฝากเพื่อนๆครับ

แต่ก่อน มีแม่ทัพคนหนึ่งเล่น หมากล้อม เก่งมาก ฝีมือแม่ทัพดีหาคนเล่นชนะได้ยาก และก็ภูมิใจในฝีมือตนมาก
วันหนึ่ง แม่ทัพออกรบ ผ่านหมู่บ้านแห่งหนึ่ง เห็นบ้านเล็ก ๆ หลังหนึ่ง มีป้ายติดว่า “หมากล้อม อันดับ 1 ของประเทศ”
แม่ทัพเห็นแล้วรู้สึกไม่ยอมรับในใจ จึงพักทัพ แวะเข้าไปหาเจ้าของบ้าน ขอประลองหมากล้อมด้วย
ปรากฎว่า เจ้าของบ้านแพ้ทั้ง 3 กระดาน
แม่ทัพยิ้ม เอามือลูบเครา พลางหัวเราะใส่เจ้าของบ้าน “เหอะๆ..แกเอาป้ายลงได้แล้ว”
แล้วแม่ทัพก็ไปออกรบด้วยความกระหยิ่มในฝีมือการวาง หมากล้อม และวิสัยทัศน์ในกลยุทธของตน
หลังจากนั้นไม่นาน แม่ทัพรบชนะกลับมา ผ่านมาที่เดิม
ก็ยังเห็นป้าย อันดับ 1 แขวนอยู่ที่บ้านหลังเดิม ก็อดไม่ได้ แม่ทัพจึงเข้าไปหาเจ้าของบ้าน และท้าดวลอีก
คราวนี้แม่ทัพบอกสำทับเจ้าของบ้านว่า เล่นให้ดี ถ้าชนะจะให้รางวัล แต่ถ้าแพ้ จะปลดป้ายอวดดีที่ติดไว้หน้าบ้านทิ้ง
แต่ปรากฎว่าครั้งนี้ แม่ทัพกลับพ่ายแพ้อย่างสิ้นเชิงทั้ง 3 กระดาน ไม่เหลือเค้าลางความเก่งเดิมที่เคยทะนงในฝีมือ
แม่ทัพประหลาดใจมาก ถามเจ้าของบ้านว่าเพราะอะไร ?
ไปฝึกที่ไหนเพื่อมาแก้มือหรือเปล่า ?
รู้สึกไม่อาจยอมรับได้ว่าเจ้าของบ้านเก่งกว่า เลยอ้างว่าเพิ่งเดินทัพกลับมายังเหนื่อยล้า พรุ่งนี้จะมาเล่นด้วยใหม่
เป็นอย่างนี้ สามวัน ทุกวันแม่ทัพแพ้หมากล้อมอย่างหมดรูป 3 กระดาน ทั้งสามวัน จนไม่อาจไม่ยอมรับว่าฝีมือตนด้อยกว่า และไม่มีเหตุผลใดกล่าวอ้างอีก จึงยอมรับนับถือฝีมือเจ้าบ้านอย่างจริงใจ ยอมตบรางวัลให้ตามสัญญา แต่ก็ยังอดถามไม่ได้ว่า แล้วทำไม
เจ้าบ้านขอร้องให้แม่ทัพรับปากว่าถ้าตอบตามจริงแล้วจะไม่มีโทษ แม่ทัพให้สัตย์
เจ้าของบ้านจึงตอบตามตรงว่า
เพราะท่านเป็นแม่ทัพ และข้าเป็นผู้น้อย
วันแรกที่เจอกัน ท่านเดินทัพไปรบ แต่กลับอดไม่ได้ต้องแวะมาลองฝีมือกับข้าพเจ้า ย่อมแสดงว่าท่านรู้สึกไม่ยอมรับนับถือผู้ใดในสิ่งที่ท่านคิดว่าท่านเก่งกว่า
อีกทั้งเมื่อเดินหมากท่วงทีกลยุทธเดินหมากท่านดุดันวางรุกรุนแรงหมายกินพื้นที่ไม่เหลือ มุ่งหมายชนะฝ่ายเดียว
ข้าพเจ้าจึงรู้ว่าแพ้ชนะมีผลต่อความมั่นใจของท่านในการออกรบ ครั้งก่อนนั้น ท่านกำลังมีภารกิจต้องไปออกรบ ข้าน้อยจะไปลบเหลี่ยม ทำให้ท่านหมดขวัญกำลังใจไม่ได้
แต่ครั้งนี้ ท่านชนะกลับมา และบังคับให้ข้าน้อยเล่นอีก ถ้าแพ้จะปลดป้ายของข้าน้อยออก จึงมิอาจออมมือให้แล้วขอรับ”
แม่ทัพพยักหน้ายอมรับในเหตุผล ที่เจ้าของบ้านอ่านได้กระจ่าง แต่ก็อดไม่ได้ที่จะแสดงสีหน้าไม่พึงใจออกมา แต่ก็ไม่ว่ากระไร มอบรางวัลแล้วกลับไปยังทัพของตน
พอถึงที่พักก็คิดว่า คนที่อ่านกลหมากได้จนรู้ความคิดอ่านของตนย่อมจะเป็นภัย ใครรู้ว่าแม่ทัพแพ้หมดรูปขนาดนั้นถึงไหนอายถึงนั่น จึงสั่งลูกน้องคนสนิทให้ไปฆ่าเจ้าของบ้านเสีย
โดยให้เหตุผลว่าถ้าข้าศึกรู้ว่ามีคนนี้อยู่อาจเอาไปใช้เป็นประโยชน์ในการศึกคราวต่อไป แต่เมื่อไปถึง เจ้าของบ้านก็เก็บของและป้ายนั้นพร้อมออกเดินทางหายไปอย่างไร้ร่องรอยเสียแล้ว
คนที่เก่งจริงในโลกนี้ คือคนชนะได้ แต่ไม่จำเป็นต้องชนะ
มีใจกว้างขวางพอที่จะให้คนอื่นได้ชนะ ได้ภูมิใจในฝีมือของตน
ได้ไปรบในสนามรบของตนอย่างมั่นใจ
การใช้ชีวิต ก็เหมือนกัน.....
รู้ ไม่จำเป็นต้องพูด ไม่พูด ใช่ว่าจะไม่รู้
หากคุณพูดในสิ่งที่คุณรู้ แต่เป็นเรื่องที่เจ้าของเรื่องไม่อยากให้รู้ หรือไม่คิดว่าคนอื่นจะรู้ คุณไม่ได้มิตร แต่ได้ศัตรู
คนทุกคนบอกว่ารับความจริงได้ ต้องการให้คุณพูดความจริง แต่พอคุณพูดแล้ว ใช่ว่าจะรับได้ทุกคน อาจจะโกรธคุณอีกต่างหาก ที่รู้ความจริงในใจ หรือความคิดของเขา
การที่เขาบอกให้คุณพูดความจริง ที่จริงแค่ต้องการจะรู้ว่าคุณรู้เท่าไหน แต่ไม่ได้หมายความว่ารับความจริงได้ เมื่อรู้ว่าคุณรู้เยอะมาก เยอะกว่าที่เขาคาดไว้ เขาย่อมโกรธคุณ เพราะ “รู้ทัน” หรือไม่ทำใจยอมรับได้ว่า ในเรื่องนั้นคุณเก่งกว่า รู้เยอะกว่าเขา
ต่อหน้าคนใจแคบ คุณต้องใจกว้าง ถ้าทำใจกว้างไม่ได้ ก็ต้องแกล้งโง่ เพราะไม่มีทางทำให้เขาพึงใจในความเก่งของคุณได้ ต่อให้เขายอมรับก็ยอมรับด้วยความรู้สึกไม่ยินยอม และมุ่งจะเอาชนะท่านให้ได้ มีแต่เสียกับเสีย
ต่อหน้าคนใจกว้าง คูณแสดงความสามารถได้ตามจริง เต็มเท่าที่คุณมี แต่ก็ยากนักที่จะเจอคนใจกว้างได้ง่ายๆ ในสังคมปัจจุบัน
คนเก่งหมากล้อมอ่านพินิจวิธีการเดินหมากล้อมก็เห็นความคิดอ่าน
คนเก่งใช้ชีวิต ก็ต้องอ่านพินิจวิธีคิดอ่านของคนที่ตนพบด้วย เพราะมีผลต่อการปฏิสัมพันธ์กันในอนาคต

แล้วกลับมาพบกันใหม่นะครับกับ SimpleThings เรื่องง่ายๆที่คุณก็ทำได้ สวัสดีครับ

วันพุธที่ 19 พฤศจิกายน พ.ศ. 2557

ความลับของสมองมนุษย์ 12 อย่างที่นักสื่อสารการตลาดควรรู้

1415043150-12-facts-human-brain-make-marketing-successful
เวลาเราพูดเรื่องการตลาดนั้นคงไม่พ้นที่เราจะต้องมาพิจารณาเรื่องของมนุษย์เป็นสำคัญ ยิ่งถ้านักการตลาดเข้าใจความคิดหรือกลไกของมนุษย์มากเท่าไร เราก็สามารถเอาข้อมูลเหล่านั้นมาคิดกลยุทธ์การตลาดดีๆ ได้เช่นกัน ตัวอย่างที่เราเห็นได้ชัดคือแคมเปญที่ประสบความสำเร็จนั้นล้วนสามารถอธิบายในเชิงวิทยาศาสตร์ / จิตวิทยาทั้งสิ้น
ดูตัวอย่างข้อมูลล่าสุดที่นำเสนอโดย Emma ที่อธิบายกลไกสมองของมนุษย์ที่น่ารู้เพื่อเอาไปใช้วิเคราะห์พฤติกรรมของผู้บริโภค หรือไปพัฒนาเทคนิคการตลาดของคุณ ซึ่งก็น่าสนใจทีเดียวครับ
  1. เราจะมีปฏิกริยาตอบสนองอัตโนมัติใน 3 วินาทีหรือน้อยกว่านั้น
  2. การประมวลผลจากอารมณ์และความรู้สึกจะเร็วกว่าการใช้เหตุผลถึง 5 เท่า
  3. ความรู้สึกจะอยู่กับเรานานกว่าเหตุผลหรือความคิด
  4. สมองของเราประมวลผลภาพเร็วกกว่าข้อความถึง 60,000 เท่า
  5. 90% ของข้อมูลที่สมองประมวลผลเป็นข้อมูลแบบภาพ
  6. เราจะจดจำข้อมูลที่มีภาพและข้อความมากกว่าข้อมูลที่มีข้อความอย่างเดียว
  7. สมองคนเรานั้นโยงภาพใบหน้าของมนุษย์กับสิ่งต่างๆ ได้ตั้งแต่เกิด
  8. สมองส่วนที่ประมวลผลภาพนั้นอยู่ติดกับสมองส่วนที่ประมวลผลด้านอารมณ์
  9. ภาพที่มีใบหน้าของคุณมักจะทำให้เราเตะตา
  10. 62-90% ของการตัดสินสินค้านั้นเกิดจากการตัดสินด้วยสี
  11. สีเหลืองนั้นกระตุ้นสมองส่วนกลาง
  12. สีน้ำเงินสร้างความเชื่อมั่นและไว้วางใจ

รู้แล้วยังไง?

  • คุณต้องวางแผนที่จะกระตุ้น Gut Reaction เช่นการเขียนหัวข้อที่เตะตา กระตุ้นความสนใจ เช่นเดียวกับการโยงเรื่องของอารมณ์ซึ่งจะทำให้มันน่าสนใจมากขึ้น
  • สร้างคอนเทนต์ที่เน้นภาพเป็นสำคัญ
  • ลองคิดเรื่องการใช้ภาพนำสายตาคนไปยัง Call to action
  • ทดลองวิธีต่างๆ เพื่อหาวิธีที่ได้ประสิทธิภาพที่สุด

เป็นอย่างไรครับ น่าสนใจใช่ไหมครับกับเรื่อง ความลับของสมองมนุษย์ 12 อย่างที่นักสื่อสารการตลาดควรรู้ แล้วกลับมาพบกันใหม่นะครับกับ SimpleThings เรื่องง่ายๆที่คุณก็ทำได้ สวัสดีครับ

วันจันทร์ที่ 17 พฤศจิกายน พ.ศ. 2557

7 วิธีแก้อาการ Art Block

เชื่อว่านักวาดรูปหลายคนไม่เว้นแม้แต่ศิลปินใหญ่ หรือนักเขียนชื่อดัง
ต้องเคยเป็นอาการที่เรียกกันว่า Art block กันมาก่อน
หรือเผลอๆ นี่อาจจะเป็นอาการที่อยู่กับวงการวาดรูปเลยก็ได้ 555
อาการ Art block ที่ว่านี้
คนที่เป็นจะมีอาการหัวตื้อ ไอเดียตัน คิดงานไม่ออกโดยไม่มีสาเหตุ
ซึ่งจะเป็นมากเป็นน้อย หรือเป็นนานแค่ไหน ยังไงนั้น
จะขึ้นอยู่ตัวนักวาดเอง แต่ละคนจะเป็นไม่เท่ากันครับ
แต่ที่แน่ๆ เมื่อมีอาการนี้เกิดขึ้นแล้ว
สิ่งที่ตามมา คือ วาดไม่ออก งานไม่เดิน หรือแย่กว่านั้น คือ งานไม่เสร็จ
ซึ่งหลายครั้งมันก็สร้างปัญหาให้กับพวกเราทุกคน
นักวาดแต่ละคนจึงต้องมีวิธีรับมือกับอาการ Art block ที่ว่านี้ให้ได้
เพราะงั้นวันนี้ผมเลยจะมาบอก 7 วิธีแก้อาการ Art block ให้กับทุกคนได้อ่านกันครับ
และอย่างที่บอกไปว่าอาการ Art block ของแต่ละคนจะไม่เหมือนกัน
วิธีแก้ปัญหาของแต่ละคนจึงแตกต่างกัน
แต่ที่มาบอกในวันนี้เป็น 7 วิธียอดนิยม
ที่ผม และคนรอบๆ ตัวผมมักจะใช้กันอยู่บ่อยๆ ครับ
เอาละ มาเริ่มกันที่

1 – หยุดวาด
หลายคนคงคิดว่า อ่าว แล้วแบบนี้งานจะยิ่งไม่เดินหนักกว่าเก่าหรอ
คำตอบ คือ ใช่ครับ วิธีนี้จะทำให้งานไม่เดิน
แต่จริงๆ แล้ว งานวาดเป็นงานที่ต้องใช้ไอเดีย และความอยากวาดครับ
ถ้าคิดไม่ออกก็ไม่ต้องไปฝืนวาดหรอกครับ
เพราะถ้าเราฝืนวาดในช่วงที่เกิดอาการ Art block ต่อไป
มันจะทำให้คุณภาพของผลงานเราออกมาได้ไม่ดีเท่าที่ควร
ซึ่งถ้างานที่ทำอยู่ไม่ได้เร่งรีบใกล้ Deadline มากจนเกินไป
ก็แนะนำว่าให้หยุดวาดไปก่อนจะดีกว่าครับ

2 – หาแรงบันดาลใจ
เมื่อเราหมดไฟในการวาด เราก็ต้องหาวิธีเติมไฟให้กลับมาลุกโชนอีกครั้งให้ได้
ซึ่งคำว่า แรงบันดาลใจ ของแต่ละคนก็ย่อมไม่เหมือนกัน
หลายๆ คน เลือกที่จะดูผลงานของนักวาดที่เขาชอบ
หลายๆ คน เลือกที่จะเปิดหาไอเดียต่างๆ ในอาร์ตบุ๊ค
หลายๆ คน เลือกที่จะอ่านการ์ตูนที่เขาชอบ
ไม่มีวิธีที่ตายตัวในข้อนี้ครับ
แต่แนะนำว่าควรเลือกหาวิธีที่เราจะได้รับแรงบันดาลใจจากการ เสพย์ ในสิ่งที่เราชอบ
และนั่นจะเป็นวิธีการเติมไฟให้เราได้อย่างหนึ่งครับ

3 – ดูหนัง ฟังเพลง
ในบางครั้งอาการ Art block ก็เกิดจากการที่เราคร่ำเคร่งกับการวาดมากเกินไป
ถ้าเป็นแบบนั้นให้เราลองถอยจากการวาดรูปสักแป๊บนึง
แล้วหาอะไรที่ทำให้เรารู้สึกเพลิน หรือผ่อนคลายทำดูครับ
ไม่ว่าจะเป็น ดูหนัง ฟังเพลง เล่นดนตรี หรือแม้กระทั่งเล่นเกมก็ได้
สิ่งเหล่านี้จะทำให้เราลดความคร่ำเคร่งในการวาดลง
แต่จะทำให้เราสนุกกับการวาดมากขึ้นครับ

4 – เปลี่ยนสถานที่วาด
ในหลายๆ ครั้ง การที่เราวาดรูปไม่ออก เพราะเรากำลังรู้สึกเบื่อครับ
แนะนำว่าให้ลองเปลี่ยนสถานที่วาดบ้าง
เช่น ร้านกาแฟ หรือในสวนสาธารณะ เป็นต้น
เมื่อเราเปลี่ยนไปวาดรูปที่อื่น
มันทำให้เราไม่รู้สึกซ้ำซากจำเจ
และมันทำให้เราอยากวาดรูปขึ้นมาเองครับ
นอกจากนี้การไปวาดตามที่สาธารณะ
ก็เป็นการได้โชว์ผลงานของเราไปในตัวด้วย
นักเขียน และนักวาดบางคนก็ได้งานจากการออกไปวาดนอกสถานที่เนี่ยละครับ

5 – เดินเล่นในนิทรรศการ
ถ้ามีเวลาว่างมากพอ
ผมอยากแนะนำให้ลองไปเดินเล่นในงานนิทรรศการต่างๆ ดูบ้างเหมือนกันนะครับ
เพราะในนิทรรศการเหล่านี้มักจะมีผลงาน กิจกรรม หรือบรรยากาศต่างๆ
ที่ช่วยให้เรารู้สึกสนุกไปกับงานนั้นๆ
และพอเรารู้สึกสนุกมากขึ้น เราจะกลับมาวาดรูปได้เองครับ
เผลอๆ นอกจากจะวาดรูปได้แล้ว
เราอาจจะได้ไอเดียอะไรบางอย่างจากนิทรรศการนั้นด้วยก็ได้นะครับ

6 – ดูงานเก่าๆ ที่เคยวาดไว้
เวลาที่หมดกำลังใจที่จะวาดรูปต่อ
ลองเอาผลงานเก่าๆ ของตัวเองขึ้นมาดูสิครับ
แล้วคุณจะพบว่าตัวเองเดินมาได้ไกลขนาดไหน
ไม่ว่ามันจะเป็นรูปวาดเล่นในสมุดเรียน
การ์ตูนเรื่องแรกที่ทำเสร็จ
หรือ งานที่เคยส่งประกวดก็ตาม
ลองเอางานเหล่านั้นขึ้นมาดู
แล้วเทียบกับฝีมือเราในตอนนี้ดูสิครับ
รับรองว่าคุณจะมีแรงบันดาลใจในการวาดเพิ่มขึ้นแน่นอน

7 – นัดเจอเพื่อนที่วาดรูปด้วยกัน
วิธีนี้เป็นวิธีที่คลาสสิคที่สุด และเชื่อว่าจะใช้แก้อาการ Art block ได้อีกหลายยุค
เพราะเวลาที่เราวาดรูปกับคนที่เราคุ้นเคย หรือชอบอะไรเหมือนกับเรา
จะทำให้เรารู้สึกผ่อนคลาย และสนุกกับการวาดมากขึ้น
วิธีนี้แนะนำว่าให้ชวนเพื่อนไปวาดกันหลายๆ คนจะยิ่งดีครับ
หรือไม่ก็อาจจะชวนเพื่อนที่เราสนิทด้วยไปวาดรูปนอกสถานที่ดูบ้างก็ไม่เลวครับ
นอกจากนี้ในหลายๆ ครั้ง การได้วาดรูปด้วยกัน
ได้คุยเรื่องวาดกัน ได้ปรับทุกข์ เล่าเรื่องราวต่างๆ ให้ฟัง
มันก็ทำให้เรารู้สึกดีขึ้นได้เหมือนกันครับ
ส่วนจะไปกับกลุ่มไหน ยังไงนั้น
ขึ้นอยู่กับความรู้สึก และความสบายใจเป็นหลักได้เลยครับ

นอกจากนี้ให้ลองดูตัวเองเป็นหลักด้วยนะครับ
ว่าเราเหมาะกับข้อไหน หรือชอบข้อไหนเป็นพิเศษรึเปล่า
อย่างที่บอกไปว่าแต่ละคนมีวิธีแก้อาการ Art Block ไม่เหมือนกัน
ยังไงก็ลองดูนะครับว่าข้อไหนได้ผลสำหรับคุณ
เพราะถ้าคุณควบคุมอาการ Art block ได้แล้ว
การวาดรูปของคุณก็จะสนุกขึ้นแน่ๆครับ
Credit:copiicart
แล้วกลับมาพบกันใหม่กับ SimpleThings เรื่องง่ายๆที่คุณก็ทำได้ สวัสดีครับ

วันจันทร์ที่ 10 พฤศจิกายน พ.ศ. 2557

13 ข้อที่ “คนคิดมาก” เหนื่อยที่จะคิดอีกต่อไป!

การเป็น “คนคิดมาก” มันเหมือนกับการเป็นโรคอย่างหนึ่ง ที่มันจะค่อยๆ กัดกินคนที่เป็นจากข้างใน มันเป็นเหมือนเมฆที่มาปกคลุมวันใสๆ ของคนคนหนึ่งให้มืดหม่นอยู่ตลอดเวลา มันทำให้คนที่เป็น รู้สึกยากเหลือเกินที่จะมีความสุขอยู่กับปัจจุบัน อยู่กับสิ่งที่มี และ “ปล่อยวาง” กับสิ่งที่เกิดขึ้น และสิ่งนี้ส่งผลให้คนที่เป็น มีอาการเครียดเมื่อต้องตัดสินใจอะไรบางอย่าง เพราะคิดนู่น คิดนี่ไปหมด และถ้าถามว่าทำไมถึงเป็นแบบนี้?
คนเหล่านี้จะบอกว่า รู้สึกชิน คนเหล่านี้รู้สึกว่า ไม่รู้จะแก้อย่างไร เพราะรู้สึกว่าพยายามแค่ไหน ก็คิดมากอยู่ดี บางทีก็รู้สึกอิจฉาคนที่คิดน้อย คนที่ตัดสินใจอะไรได้ง่ายๆ ไม่เครียด แต่ก็ทำไม่ได้ วันนี้เราอยากเป็นส่วนหนึ่งที่จะค่อยๆ ช่วย โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากคุณคือหนึ่งในนั้น เรามี 13 ข้อที่ “คนคิดมาก” เหนื่อยที่จะคิดอีกต่อไป และอาจจะช่วยแก้ไขบ้างไม่มากก็น้อย ไปดูกันเลย
 
1. ความจริงที่ว่า คุณใช้ชีวิต “ไม่เต็มที่”
คำถามที่ว่า การใช้ชีวิต “เต็มที่” หมายความว่าอย่างไร มันไม่มีเพียงแค่คำตอบเดียวหรอกนะ มันไม่มีหนังสือเล่มใดที่จะมาหาคำนิยามให้กับคุณได้ ทุกอย่างคุณต้องกำหนดมันเอง
คุณจะใช้ชีวิตได้อย่างเต็มที่ เมื่อคุณรู้ความหมายของมัน และจะไม่มีใครมาบอกคุณได้ว่า สิ่งที่คุณนิยามน่ะ มันผิด

 
2. ความรู้สึกที่ว่า ความรักของคุณกับคนรัก “ไม่มั่นคง”
คุณจะมี “ความรัก” ไปเพื่ออะไร ถ้าคุณคิดมากเกี่ยวกับมันตลอดเวลาว่ามันไม่มั่นคง และคุณไม่มีความสุขกับมัน ก่อนหน้านี้ คุณกังวลว่าคุณไม่มีใคร พอคุณมีแล้ว ก็มากังวลอีกว่า คนที่อยู่ตรงหน้าคุณ มันใช่แล้วหรือไม่
ปรับมุมมองใหม่ เพราะอยากบอกว่า ยิ่งคุณคิดมากเท่าไหร่ มันก็เหมือนคุณรอวันที่ความรักครั้งนี้จะจบลงก็เท่านั้นเอง
 
3. ความจริงที่ว่า คุณไม่ได้อยู่ใกล้สิ่งที่คุณคาดหวังว่าจะเป็นในวันนี้เลย
ไม่มีอะไรจะเสียเวลาชีวิตมากไปกว่า การมานั่งเสียเวลาคิดว่า อายุวัยนี้ คุณควรจะเป็นนู่น คุณควรจะมีนี่ เพราะสิ่งที่คุณควรทำที่สุดคือ “มีความสุข” กับสิ่งที่คุณเป็นในปัจจุบัน คุณสามารถฝันถึงอนาคตได้ แต่อย่าเอาอนาคตมาทำให้คุณมี “ความสุข” กับปัจจุบันลดลง

 
4. ตามหาความรักจนเหนื่อย
ความรักไม่ใช่สิ่งที่คุณจะตามล่าหามาได้ ถ้ามันจะมา มันมาเอง ยิ่งตามล่า ยิ่งหาไม่เจอ และคุณเองก็ยิ่งเหนื่อย ทางที่ดี คุณควรหยุดหาสิ ทำตัวคุณเองให้มีค่า แล้วก็จะมีคนเห็นค่าคุณเอง เชื่อสิ

 
5. ลงเอยกับคนที่คิดว่า “ไม่ใช่”
ของแบบนี้คุณจะรู้เองว่ามันใช่หรือไม่ใช่ มันคือรัก หรือมันคือการโกหก บางทีถ้าคุณหยุดคิดซักพัก คุณจะเห็นภาพชัดขึ้น และตัดสินใจได้เอง
6. เสียใจกับ “อดีต”
อดีตก็เหมือนกับกล่องที่เต็มไปด้วยใบเสร็จเก่าๆ ที่บางทีคุณเก็บไว้ เพราะคิดว่า “อาจจะต้องใช้” ซึ่งนี่คือเรื่องที่เข้าใจผิด และมีแต่จะเปลืองพื้นที่ในสมองของคุณ ที่คุณสามารถนำไปใช้ประโยชน์อื่นๆ ได้อีกมาก เพราะฉะนั้น ปล่อยมันไปซะ แล้วมุ่งเน้นกับชีวิตตรงหน้าคุณดีกว่า
7. ต้องหาเงินให้มากพอ
อย่าเอา “เงิน” เป็นตัวตั้งในการนิยามความสำเร็จ หรือความสุข บางทีคุณอาจจะหาเงินได้ไม่มาก แต่สิ่งที่คุณได้คือ ความรู้ ประสบการณ์ เพื่อนใหม่ ทักษะการใช้ชีวิต คุณต้องเรียนรู้ที่จะมีความสุขกับสิ่งที่คุณทำ แล้วเงินจะมาเอง 

 
8. คนอื่นจะชอบคุณหรือเปล่า
ความเห็นของคนอื่นมันก็เหมือนกับกระจก มันส่องย้อนกลับ เพราะฉะนั้น จริงๆ แล้ว คนที่คุณคิดว่ากำลังมองคุณในแง่ลบ หรือคนที่วิพากษ์วิจารณ์คุณอยู่ จริงๆ คนเหล่านั้นคือ คนที่ชื่มชมคุณอยู่ต่างหากล่ะ เพราะฉะนั้น อย่าคิดมากว่าคนอื่นจะคิด จะเห็นอย่างไรเกี่ยวกับตัวคุณ มันเสียเวลามากเลยทีเดียว 

 
9. ครอบครัวคุณจะมีความสุขหรือเปล่า
ครอบครัวเดียวกันต้องรักกัน ใช่ แต่ทุกคนในครอบครัว ก็มีชีวิตของตนเอง เขามีมุมมองความสุขของตัวเอง บางทีการที่คุณไปคิดแทนทุกคนในครอบครัวว่าเขาจะมีความสุขหรือไม่ ก็เป็นเรื่องที่เหนื่อยเสียเปล่าๆ 

 
10. วันหนึ่งจะเสียใจหรือเปล่า
ความสามารถที่จะรัก มันมาพร้อมกับความสามารถที่จะทำให้เจ็บปวด เพราะจริงๆ แล้วความเจ็บปวด มันคือประตูสู่ความเข้าใจที่ยิ่งใหญ่กว่า และนำไปสู่ความรักที่ดีขึ้นก็เป็นได้ เพราะฉะนั้น เลิกกังวลว่าวันหนึ่งคุณจะเจ็บหรือเปล่า แต่ให้กังวลว่าถ้าเจ็บแล้ว คุณจะเปลี่ยนความเจ็บนั้น เป็นเรื่องที่คุ้มค่าความเจ็บปวดนั้นได้อย่างไร

 
11. รูปนี้เหมาะจะลง Instagram หรือไม่
โซเชียลเน็ตเวิร์คกลายเป็นเรื่องที่ทำให้คนคิดมากเกินไป ว่ารูปนี้ควรลงมั้ย รูปนี้จะได้ไลค์เยอะรึป่าว ซึ่งวิธีแก้ของคนที่เล่นเว็บไซต์พวกนี้แล้วคิดมากตลอดเวลาคือ เลิกเล่นเสีย แล้วชีวิตคุณจะมีความสุขขึ้นเยอะเลย เชื่อสิ
 
12. กลัว “ความตาย”
“ความตาย” คือเรื่องธรรมชาติ และถ้าคุณมัวแต่ใช้ชีวิต โดยคิดว่าคุณจะอยู่ได้อีกนานเท่าไหร่ คุณจะจากโลกนี้ไปเมื่อไหร่ คุณจะไม่มีความสุขเลย การยอมรับมัน และปล่อยวาง จะทำให้คุณใช้ชีวิตในทุกๆ นาทีคุ้มค่าขึ้น 

 
13. เพื่อนของคุณจะรักคุณหรือเปล่า
มิตรภาพคือสิ่งท้ายๆ เลยที่คุณต้องมานั่งคิดมาก เพราะมันคือสิ่งที่ควรมีเพื่อให้คุณสบายใจ เมื่อเลิกคิดจากเรื่องงาน เรื่องคนรัก คุณสามารถมาหาเพื่อนคุณเพื่อผ่อนคลายได้ เพราะฉะนั้น อย่าให้เรื่องเพื่อนของคุณมาเป็นอีกเรื่องที่ทำให้คุณไม่มีความสุข มันไม่จำเป็นเลย และการยิ่งคิดมาก อาจจะทำให้ความสัมพันธ์ของคุณกับเพื่อน กระท่อนกระแท่นก็เป็นได้
Credit: Elitedaily
แล้วกลับมาพบกันใหม่กับ  SimpleThings เรื่องง่ายๆที่คุณก็ทำได้ สวัสดีครับ

วันพฤหัสบดีที่ 6 พฤศจิกายน พ.ศ. 2557

7 ทักษะที่นักการตลาดไม่ควรลืม

seven-skills-new-marketers-need-to-succeed
ในปัจจุบันการพัฒนาทักษะการทำงานถือเป็นปัจจัยสำคัญอย่างหนึ่งที่ไม่ควรมองข้าม โดยเฉพาะในแวดวงของนักการตลาด ยิ่งมีความจำเป็นอย่างยิ่ง เพราะต้องจับกระแส สำรวจเทรนด์ วิเคราะสถิติต่างๆ แล้วทราบหรือไม่ว่าอะไรคือทักษะที่สำคัญที่สุดของนักการตลาด นี่คือ Infographic ที่รวบรวม 7 ทักษะที่องค์กรต่างๆ คาดหวังจากนักการตลาดของพวกเขา ดังนี้
1. Analytics ต้องมีทักษะการวิเคราะห์ข้อมูลต่างๆ ได้เป็นอย่างดี อาทิ ข้อมูลของผู้ที่เข้าเว็บไซต์ พฤติกรรมการใช้งานอินเตอร์เน็ต ฯลฯ
2. Social Media ต้องมีการวางแผนการใช้สื่อออนไลน์ เรียนรู้จุดเด่น-จุดด้อยของสื่อออนไลน์ต่างๆ ได้ เช่น Facebook, Instagram, Google+ และ SlideShare
3. Data Visualization การรวบรวมข้อมูลในเชิงปริมาณ ไม่ว่าจะเป็นตัวเลข แผนภูมิ กราฟ และอื่นๆ อีกมากมาย ซึ่งเมื่อนำมารวมกันแล้วต้องดูง่าย สะอาดตา และไม่รกเกินไป
4. Technical Skills ทักษะที่จำเป็นอย่างหนึ่งของนักการตลาดคือการสร้างคอนเท้นต์หรือพรีเซนต์เทชั่น ทั้งนี้อาจไม่ถึงกับต้องเป็นสร้างสรรค์ผลงานเหมือนมืออาชีพก็ได้ แต่ก็ต้องมีความรู้ในการนำเสนองาน อย่างมืออาชีพ ไม่ใช่มีเพียงขั้นพื้นฐาน
5. Teamwork เพื่อให้การติดต่อประสานงานสะดวกขึ้น การทำงานเป็นทีมจึงมีความสำคัญอย่างมาก โดยเฉพาะนักการตลาดเพราะต้องร่วมงานกับคนหลายกลุ่ม
6. Newsjacking มีความพร้อมในทุกสถานการณ์ มีความรวดเร็วในการจัดการกับวิกฤตต่างๆ ได้รวดเร็ว นอกจากนี้ เมื่อมองเห็นโอกาสทางการตลาดก็ต้องนำมาใช้ประโยชน์ได้ทันที
เช่น กรณีแบรนด์โอรีโอ้ ที่ใช้โอกาสจากเหตุการณ์ไฟดับในการแข่งขันอเมริกันฟุตบอลรายการใหญ่ที่สุดของชาวอเมริกัน ซึ่งโอรีโอ้ได้รีทำโฆษณาชิ้นหนึ่งด้วยความรวดเร็ว โดยใช้ Twitter เป็นการกระจายข่าว ทำให้มีคน Retweet กว่าหนึ่งพันครั้งภายในครึ่งชั่วโมง โดยโฆษณาชิ้นนี้บอกว่า “You can still dunk in the dark”
7. Soft Skills การมีไอคิวสูงอย่างเดียวอาจไม่เพียงพอ ไม่ประสบความสำเร็จในหน้าที่การงาน หากขาดการพัฒนา Soft Skill อย่างต่อเนื่อง คุณต้องมีทักษะหรือความชำนาญในการบริหารคน และอารมณ์ของคน ซึ่งทักษะนี้อาจไม่เกี่ยวกับงานด้านใดด้านหนึ่งโดยตรง แต่เป็นตัวผลักดันให้การทำงานประสบความสำเร็จและก้าวหน้าได้
Credit:fromstack

เรียกได้ว่า Soft Skill เป็นลักษณะส่วนบุคคลที่ต้องสัมพันธ์กับความฉลาดทางอารมณ์ เช่น ทักษะการสื่อการ การแก้ปัญหา การสร้างแรงจูงใจ การคิดเชิงกลยุทธ์ รวมถึงการจัดการกับอารมณ์ของตัวเอง แล้วกลับมาพบกันใหม่กับ 
SimpleThings เรื่องง่ายๆที่คุณก็ทำได้ สวัสดีครับ

วันเสาร์ที่ 1 พฤศจิกายน พ.ศ. 2557

เปลี่ยนคำพูดธรรมดา ให้เป็นการสนทนาที่สนุก



ลองนึกภาพดูว่าถ้ามีเหตุการณ์ที่จะต้องพบเจอคนเยอะๆ เช่น งานแต่งงาน การสัมภาษณ์งาน
ซึ่งสถานการณ์แบบนี้ใครๆ ก็ต้องเจอกันทุกคน และคนส่วนใหญ่ก็ต้องมีเหตุการณ์ทำให้ต้องพบปะพูดคุยกับคนแปลกหน้า แต่บางครั้งกลับเกิดความรู้สึกเหมือนไม่มีอะไรจะคุยกันซะงั้น

และนี่ก็เป็นเคล็ดลับเล็กๆ น้อยๆจาก Chis Colin และ Rob Baedeker นักหนังสือพิมพ์และนักแสดงตลกชื่อดัง ที่จะทำให้การสนทนาเล็กน้อยๆ กลายเป็นไอเดียเจ๋งๆได้

ถามคำถามปลายเปิด
Basic RGB

วิธีการที่คุณจะมีโอกาสได้รับการสนทนาโต้ตอบที่ดีจากคู่สนทนา นั่นก็คือ “การถามคำถามปลายเปิด” เพื่อให้เขาได้เล่าเรื่องให้ฟัง ซึ่งแน่นอนว่ามันดีกว่าการถามคำตอบคำ

Basic RGB

แทนที่จะพูดว่า…

วันนี้เป็นไงบ้าง?
คุณมาจากไหน?
คุณทำอะไรอยู่?
คุณทำงานอะไร?
คุณชื่ออะไร?
วันหยุดของคุณเป็นไงบ้าง?
อยากได้ไวน์สักแก้วไหม?
คุณอยู่ที่นี่มานานเท่าไหร่แล้ว?

ลองเปลี่ยนเป็น…..

ไหนลองเล่าเรื่องของคุณให้ฟังหน่อยสิ?
วันนี้ทำไรมาบ้าง?
ตอนเด็กๆ เคยทำอะไรแปลกๆ มั้ย?
อะไรคือสิ่งที่คุณสนใจที่จะมาทำงานที่นี่?
ทำไมถึงเลือกสายงานนี้หละ?
ชื่อหมายความอะไรหรอ แล้วคุณชอบความหมายของมันไหม?
วันหยุดที่ผ่านมา คุณชอบช่วงเวลาไหนมากที่สุด?
คุณกำลังมองหาอะไรอยู่ในสัปดาห์นี้
คุณคิดว่าใครโชคดีที่สุดในห้องนี้
บ้านหลังนี้ทำให้คุณนึกถึงอะไร?
ถ้าคุณมีเครื่องย้อนเวลาโดยการกระพริบตา ที่ไหนที่คุณเลือกจะไปในตอนนี้

หยุดพูดซ้ำ

Basic RGB

เมื่อคุณไม่อยากขัดคู่สนทนา มันมักจะเกิดปรากฎการณ์ที่เรียกว่า “การพูดซ้ำ” เพราะเราพยายามจะทำให้มันสุภาพ เรามักจะตอบคำถามของเขาไปแบบตรงๆ โดยการพูดซ้ำสิ่งที่เขาถาม หรือเห็นดีเห็นงามด้วยทุกอย่างที่เขาพูด

Basic RGB

ตัวอย่างการพูดซ้ำ:

A : เหมือนฝนจะตกเลยเนอะ
B : ใช่ๆ เหมือนฝนจะตก

เห็นมั้ยหละ B พูดซ้ำตามที่ A ถาม เพราะ B ไม่อยากเสียมารยาท แต่เขาได้พลาดการสนทนาที่สนุกๆ ไป A ควรฝึกฝนศิลปะในการพูดให้มากกว่านี้ แล้วทำให้การสนทนาดำเนินต่อไปได้

ตัวอย่างการใส่มุขตลกไปในคำพูด :
A : เหมือนฝนจะตกเลยเนอะ
B : แน่สิ ฉันเพิ่งล้างรถไปเมื่อเช้า

เห็นมั้ยล่ะ ตอนนี้ A และ B กำลังโต้ตอบกันแล้ว ลองเป็นคนมีอารมณ์ขันดู มันจะช่วงให้การสนทนามีสีสันขึ้นเยอะ

มองข้ามความคาดหวัง

Basic RGB

ทางที่ดีที่สุดของการหยุดพักบทสนทนาที่น่าเบื่อ นั่นคือการมองข้ามปฎิกริยาที่คาดหวังจากคู่สนทนา แล้วไปต่อกับบทสนทนาขั้นต่อไป

Basic RGB

แทนที่จะพูดว่า…
A : นั่งเครื่องบินมาเป็นไงมั้ง
B : ก็ดีนะ


A : ว่าไง?
B : อื้ม ว่าไง?

ลองเปลี่ยนเป็น…
A : นั่งเครื่องบินมาเป็นไงบ้าง
B : ตกหลุมอากาศยังกับเล่นเครื่องเล่นที่สวนสนุกเลย

A : ทำอะไรอยู่?
B : หาคอรสฟิตเนสอยู่ จะไปด้วยกันมั้ย ช่วงนี้กินเยอะนี่

Credit: presentation x

ฉะนั้นจงมีความกล้าที่จะพูด เพียงแค่คุณมีความกล้า ละทิ้งความกลัวต่างๆ เปลี่ยนบรรยากาศทานอาหารเย็นที่แสนจะอึดอัดให้สนุกสนานขึ้น เปลี่ยนบทสนทนาเล็กๆ ในงานเลี้ยงงานแต่งงานครั้งต่อไปให้เป็นไอเดียที่ยิ่งใหญ่ มันจะทำให้การออกไปพบปะผู้คนครั้งต่อไปของคุณเป็นเรื่องสนุกขึ้นนะครับผมแล้วกลับมาพบกับ SimpleThings เรื่องง่ายๆที่คุณก็ทำได้ สวัสดีครับ

วันอาทิตย์ที่ 26 ตุลาคม พ.ศ. 2557

5 คำพูด Bill Gates ที่จะบอกว่าความ “ล้มเหลว” นี่แหละคือครูที่ดีที่สุด!

วันนี้ เอา5 คำพูด Bill Gates ที่จะบอกว่าความ “ล้มเหลว” นี่แหละคือครูที่ดีที่สุด! มาให้รับฟังกันครับ ลองมาดูกันครับว่ามีอะไรบ้าง ไปดูกันเลยครับ

Bill Gates คือคนที่รวยที่สุดในโลกในเวลานี้ ด้วยวัย 58 ปี เขามีทรัพย์สินสุทธิ 80,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ หรือราว 2.56 ล้านล้านบาท เขาเป็นทั้งนักคิดค้นนวัติกรรม ชอบทำการกุศล และยังเป็นคนที่มีข้อคิดแรงบันดาลใจมาให้คนทั้งโลกอยู่เสมอๆ

ในปี 1975 Gates ลาออกจากมหาวิทยาลัยฮาวาร์ดเพื่อร่วมก่อตั้ง Microsoft กับ Paul Allen เพื่อนของเขา และเพียงแค่ 12 ปีต่อมา เขาได้กลายเป็นเศรษฐีที่อายุน้อยที่สุดในโลก และสร้างบริษัทซอฟแวร์ที่ใหญ่ที่สุดในโลกขึ้นมาเป็นผลสำเร็จ

Gates คือตัวอย่างของคนที่สำเร็จได้ด้วยตนเอง จากความฝันที่ตอนแรกดูเหมือนจะเป็นไปไม่ได้ แถมเขาก็เรียนไม่จบเสียด้วยซ้ำ แต่สุดท้ายเขาก็ทำได้ และเขาก็เป็นคนที่ใจบุญมากที่สุดคนหนึ่งของโลกเลยทีเดียว เพราะที่ผ่านมา เขาบริจาคเงินผ่านมูลนิธิ Bill and Melinda Gates Foundation ไปแล้วกว่า 28,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ หรือราว 896,000 ล้านบาท

วันนี้เราขอนำคำพูดของ Bill Gates ที่จะตอกย้ำความสำเร็จ และความใจบุญของเขา และยังบอกอีกว่า การที่คุณจะประสบความสำเร็จ บางทีคุณอาจจะต้อง “ล้มเหลว” สักครั้งก่อนก็เป็นได้/strong>


1. “ความสำเร็จ เป็นครูที่ไม่ดี เพราะมันทำให้คนเก่งๆ หลายคน แพ้ไม่เป็น! ”

ไม่ว่าคุณจะประสบความสำเร็จมากแค่ไหน การอ่อนน้อมถ่อมตนคือสิ่งที่สำคัญ เพราะความสำเร็จก็เหมือนชีวิตคนเรานั่นแหละ ไม่มีอะไรจีรังยั่งยืนไปตลอด คุณสำเร็จในวันนี้ แต่ตื่นขึ้นมาในวันถัดไป ทุกอย่างอาจจะหายวับไปกับตาก็เป็นได้

ทางที่ดีที่สุดก็คือ ถึงแม้วันนี้ชีวิตคุณจะเปลี่ยน เพราะคุณประสบความสำเร็จ แต่อย่าให้มันเปลี่ยนแปลงตัวตนที่อยู่ภายในของคุณ คุณยังปฏิบัติต่อทุกคนรอบตัวเหมือนเช่นเดิม และรู้จักที่จะให้อะไรคืนสู่โลกที่คุณอาศัยอยู่บ้าง

การเรียนรู้ที่ดีที่สุด คือ เรียนรู้จากความล้มเหลว ไม่ใช่เรียนรู้จากความสำเร็จ เพราะฉะนั้น อย่าให้ความสำเร็จในวันนี้มาบังตาคุณ


2. “อย่าเปรียบเทียบตัวคุณเอง กับใครก็ตามในโลก เพราะถ้าคุณทำ คุณกำลังดูถูกตัวเองแล้วล่ะ”

คุณมีความงดงามอันเป็นเอกลักษณ์ของตนเอง เพราะฉะนั้น จำไว้ว่า ความสำเร็จมันขึ้นอยู่กับแต่ละคนว่าจะให้คำนิยามเป็นอย่างไร ใช้ชีวิตในทุกๆ วันของคุณอย่างมีค่าที่สุด อย่าเปรียบเทียบความสำเร็จของคุณ กับของคนอื่น

เราทุกคนเดินด้วยความเร็วที่ต่างกัน เดินกันคนละเส้นทาง และถึงแม้บางทีเราอาจจะหลงทาง ผิดพลาดไปบ้าง ก่อนที่เราจะสำเร็จ แต่นั่นคือส่วนหนึ่งของการเดินทางสู่ความสำเร็จไม่ใช่หรอ ดังที่ J.R.R. Tolkien เคยกล่าวไว้ว่า “Not all those who wander are lost. – ไม่ใช่ทุกคนที่เดินไปมา คือคนที่กำลังหลงทางทั้งหมดหรอกนะ”


3. “ลูกค้าที่โหดสุดๆ ของคุณ หรือไม่พอใจในการบริการของคุณที่สุด คือบทเรียนที่ดีที่สุดของคุณ”

นี่คือคำแนะนำที่ดีมากๆ สำหรับผู้ประกอบการว่า บทเรียนที่ดีที่สุดของคุณ คือลูกค้าที่ไม่พอใจในสินค้าหรือบริการของคุณ ยิ่งถ้าเจอลูกค้าหลายๆ คนบ่นเรื่องเดียวกัน นั่นหมายความว่า คุณรู้แล้วว่า คุณต้องแก้ปัญหาที่จุดไหน

สิ่งนี้ใช้ได้กับ คนอื่นๆ เช่นกันในการใช้ชีวิต เราสามารถเรียนรู้ได้อย่างดี จากคนที่ไม่ชอบเรา หรือไม่พอใจเรา โดยเฉพาะคนใกล้ตัว เพราะมันทำให้เรารู้ว่า เราควรปรับปรุงตรงไหนหรือเปล่า ที่เขาไม่พอใจมันเพราะอะไร ซึ่งถึงแม้หลายๆ คนอาจจะบอกว่า เราไม่ควรสนใจสิ่งที่คนอื่นคิดมากเกินไป แต่นั่น คือความจริงในแง่ของคนที่เราไม่รู้จัก หรือ คนแปลกหน้า แต่ถ้ากับคนใกล้ตัวเรา เกิดไม่พอใจอะไรเราขึ้นมา นั่นคือเรื่องที่เราต้องคิด และดูว่า เราต้องปรับปรุงอะไรหรือไม่ ซึ่งวิธีที่ดีที่สุดคือ คุยกับเขา สื่อสารให้เข้าใจกัน และแก้ไขต่อไป

4. “ดีๆ กับพวกเนิร์ดๆ ไว้ก็ดี วันข้างหน้า คุณอาจจะต้องทำงานให้พวกเขาก็ได้”

ความนิยมของบุคคล บางทีมันก็เป็นอะไรที่ เปลี่ยนไปเปลี่ยนมาได้ตลอดเมื่อเวลาผ่านไป คนที่ดูขี้แพ้สุดๆ ตอนเรียนประถม พอขึ้นมอปลาย อาจจะกลายเป็นสาวฮอต ได้เป็นควีนงานพรอมของโรงเรียนก็เป็นได้

เหมือนกัน บางทีเราเห็นคนเนิร์ดในหมาวิทยาลัย ก็อาจจะไม่อยากยุ่งด้วย หรือคบด้วย เพราะดูไม่เจ๋ง แต่คิดดูดีๆ พวกนี้บางทีอาจจะออกจากมหาวิทยาลัย ไปสร้างชื่อ สร้างโลก และสุดท้ายคุณอาจจะต้องไปทำงานให้กับคนเหล่านั้นในชีวิตจริงก็เป็นได้

เพราะฉะนั้น การทำดีกับคนอื่นๆ ไม่ว่าเขาจะเป็นอย่างไรก็ตาม คือสิ่งที่ดี เพราะเราไม่รู้ว่าวันข้างหน้า คนคนนั้นจะกลายไปเป็นใคร เราอาจจะต้องร่วมงานกับเขา ขอความช่วยเหลือเขา หรือเกื้อกูลกันในอนาคต เอาเป็นว่า มนุษยสัมพันธ์ดีไว้ก่อน ดีที่สุด

5. “ชีวิตไม่เคยยุติธรรมหรอก…ชินซะเถอะ”

ชีวิตคนเราไม่เคยงดงาม และโรยด้วยกลีบกุหลายหรอกนะ บางคนอาจจะดูชีวิตง่าย บางคนอาจจะมีชีวิตที่ยาก ชีวิตคนเราไม่เคยที่จะยุติธรรมอยู่แล้วล่ะ สิ่งเดียวที่คุณทำได้คือ “ยอมรับมัน และชินกับมันซะ” พยายามมองเรื่องดีๆ ในเรื่องร้ายๆ ที่เกิดขึ้นกับคุณ และจำไว้ว่า แสงสว่างจะไม่เกิดขึ้น ถ้ามันไม่มีความมืดมนเกิดขึ้นซะก่อน

เพียงคุณยอมรับมันได้ว่า ความเจ็บปวด ความล้มเหลว คือส่วนหนึ่งของชีวิต ที่เป็นธรรมชาติ คุณก็จะสามารถผ่านพ้นมันไปได้ และใช้มันนั่นแหละเป็นคุณครูที่จะเอาไว้สู้กับปัญหาในครั้งต่อไป แล้วกลับมาพบกันใหม่กับ SimpleThings เรื่องง่ายๆที่คุณก็ทำได้ สวัสดีครับ

วันศุกร์ที่ 24 ตุลาคม พ.ศ. 2557

30 วิธีฉลาดสุดๆ ที่ทำให้ชีวิตคุณ “ง่ายขึ้น” ไปดูว่ามีอะไรบ้าง!

ในบางที เราก็คาดไม่ถึงนะครับ ว่าของบางอย่างภายในบ้าน มันก็ช่วยให้หลายๆ อย่างในชีวิตเรามัน “ง่ายขึ้น” โดยที่เราไม่รู้ตัว หรือ ของบางอย่าง ที่มีวิธีใช้มันในอีกแบบหนึ่ง ที่เราไม่เคยรู้ แต่มันช่วยเราได้มากๆ วันนี้ หนูเลยขอรวมเอา 30 วิธีฉลาดสุดๆ ที่ทำให้ชีวิตคุณ “ง่ายขึ้น” มาฝากกัน ไปดูเลยว่ามีอะไรบ้าง! 
1. ใช้ที่หนีบผ้า มาเก็บขนมที่ทานไม่หมด!

Distractify

2. ถ้าคุณห่อกระดาษทิชชู่เปียกที่ขวดที่เป็นแก้ว แล้วแช่ช่อง Freeze ขวดนั้นจะเย็นภายใน 2 นาที

Buzzfeed

3. วิธีเก็บเสื้อผ้าเข้ากระเป๋าที่เจ๋งที่สุด

Distractify

4. วางสองถ้วยในไมโครเวฟขนาดเล็ก ไม่ใช่ปัญหาอีกต่อไป

Distractify

5. วิธีแก้ท่ออุดตันโดยไม่ต้องเสียเงินแพง

Distractify

เทเบคกิ้งโซดาครึ่งถ้วย และตามด้วยน้ำส้มสายชู 1 ถ้วย ลงในท่อที่ตันแค่นี้จบ!

6. ตั้งมือถือสมาร์ทโฟนไปที่ Airplane Mode จะชาร์ตเต็มเร็วขึ้นสองเท่า

Distractify

7. ใช้กิ๊บดำม้วนหลอดยาสีฟัน เพื่อใช้ให้คุ้มที่สุด!

Buzzfeed

8. ครัวเล็กไปหรอ ลองดึงลิ้นชักออกมาแล้ววางเขียงแทนสิ ใช้ได้เลยนะ!!

Buzzfeed

9. จะไปชายหาดหรอ…เอาขวดโลชั่นกันแดดมาล้างแล้วใส่ของสิ

Buzzfeed
คงไม่มีใครคิดจะขโมยครีมกันแดดใช่มั้ยล่ะ เพราะฉะนั้นเอาของมีค่าใส่ในขวดครีมกันแดดเลย รับรอง คุณจะสามารถเล่นน้ำได้หายห่วงเลยล่ะ

10. กันหม้อต้มน้ำเดือดจนล้น ให้เอาช้อนหรือทัพพีไม้วางไว้บนหม้อ แค่นี้ก็เรียบร้อย
more-lifehacks-11
justsomething

11. วิธีพับเสื้อยืดแบบเซียน
more-lifehacks-25
justsomething

12. เอาหนังสือพิมพ์เก่าวางไว้ก้นถังขยะ จะได้ซึมน้ำที่ไหลจากขยะเปียก

Distractify

13. อยากให้อาหารที่เวฟ ร้อนทั่วกัน เขาให้เอาช้อนเขี่ยๆ อาหารตรงกลางออกเป็นรู ตามภาพ

Distractify

14. หมุนแล้วดึงปีกไก่ออก คุณจะสามารถถอดกระดูกออกมาได้อย่างง่ายดาย

justsomething

15. ใช้ใบมีดโกนเก่ามาขูด กางเกงยีนส์ตัวเก่าของคุณจะดูใหม่ขึ้น
more-lifehacks-5
justsomething

16. ทำโคมไฟจากขวดนมสีขาว!
more-lifehacks-4
justsomething

17. วิธีหั่นมะเขือเทศลูกเล็กที่ฉลาดสุดๆ

justsomething

18. คุณสามารถใช้ถ่านขนาด AAA แทน AA ได้ เพียงแค่คุณอุดช่องว่างที่เหลือด้วยกระดาษฟอยล์
more-lifehacks-8
justsomething

19. ลำโพงไอโฟนอย่างง่ายที่สุด
more-lifehacks-16
justsomething

20. วิธีดัดแปลงเตียงนอนเด็กให้ใช้ประโยชน์ต่อได้ แม้เด็กๆ จะโตแล้วก็ตาม

Distractify

21. ใช้ลูกเทนนิสไว้ยึดจับของ

Distractify

22. ใส่ถุงชาไว้ในรองเท้า หรือกระเป๋าใส่ของไปยิม จะช่วยดูดกลิ่นได้ดี

Distractify

23. แล้วแซนด์วิชก็อร่อยขึ้นกว่าเดิมอีก

Buzzfeed

24. ยาทาเล็บใส จะช่วยให้กระดุมไม่หลุดออกมา

Buzzfeed

25.ใช้ Post-it กำจัดฝุ่นจากคีย์บอร์ด

Buzzfeed

26. ใช้สปริงจากปากกาแท่งเก่ามาช่วยถนอมสายชาร์จมือถือของคุณ

Buzzfeed

27. ที่รัดขนมปัง ช่วยชีวิตรองเท้าแตะคุณได้!

Buzzfeed

28. หากไปเที่ยว ลองซ่อนเงินเผื่อฉุกเฉินไว้ในหลอดหมากฝรั่งสิ

Buzzfeed

29. วิธีแก้ซิบร่วงสุดเจ๋ง

Distractify

30. วิธีหั่นส้มแสนง่ายใน 4 ขั้นตอน

Distractify


เป็นอย่างไรกันบ้างครับกับ 30 วิธีง่ายๆ ที่คุณก็ทำเองได้ ง่ายๆแบบนี้อย่าลืมไปลองทำกันดูนะครับ แล้วกลับมาพบกันใหม่กับ SimpleThings เรื่องง่ายๆที่คุณก็ทำได้ สวัสดีครับ

วันพฤหัสบดีที่ 23 ตุลาคม พ.ศ. 2557

พบกับวิธีเลือกสีกางเกงให้แมตช์กับสีเสื้อสูทได้ลงตัว




วันนี้ก็มาพบกับวิธีเลือกสีกางเกงให้แมตช์กับสีเสื้อสูทได้ลงตัวเป๊ะ เคล็ดลับการเลือกสีกางเกงให้เข้ากับสีเสื้อสูทสำหรับผู้ชายให้ดูลงตัว เพื่อลุคหล่อเนี้ยบและดูน่าเชื่อถือ

          เมื่อพูดถึงการเลือกใส่สูทแล้ว คุณผู้ชายหลายคนคงมีวิธีเลือกมิกซ์ แอนด์ แมตช์ที่แตกต่างกันออกไป ทว่าโดยส่วนใหญ่คงเลือกใช้วิธีแบบเพลย์เซฟคือ เลือกใส่เสื้อสูทกับกางเกงสีเดียวกันเสมอ แต่ความจริงคุณสามารถพลิกแพลงสีกางเกงกับเสื้อสูทได้มากกว่าที่คิด ซึ่งวันนี้เราก็มีเคล็ดลับมาฝากกันด้วยครับ

           เสื้อสูทสีเทา

ภาพจาก asos

          เมื่อคุณเลือกจะใส่เสื้อสูทสีเทาแล้ว ขอให้ลืมกางเกงสีสันสว่างสดใสไปได้เลย เพราะมันไม่เข้ากันอย่างแรง แต่ควรยืนพื้นด้วยกางเกงสีเบสิกอย่าง สีขาว ดำ หรือเทาไว้จะดีที่สุด

           เสื้อสูทสีกรมท่า




ภาพจาก asos

          แน่นอนว่าสีที่เข้าคู่กันกับเสื้อสูทสีกรมท่าก็ต้องเป็นกางเกงสีเดียวกัน แต่ช้าก่อน ! คุณยังสามารถสนุกกับการแต่งกายได้อีกกับสูทสีนี้ โดยสีกางเกงที่นำมาแมตช์กับเสื้อสูทสีกรมท่าได้ลงตัวเหมาะเจาะได้แก่ สีขาว ดำ เทาอ่อน และเทาเข้ม เป็นต้น 

           เสื้อสูทสีฟ้าหรือน้ำเงิน


ภาพจาก Marcel Floruss

          อาจเป็นสีเสื้อสูทนี้อาจไม่ค่อยเป็นที่นิยมสักเท่าไร แต่หากมีไว้ในครอบครองก็นำมามิกซ์ แอนด์ แมตช์ให้ดูโก้ขึ้นได้เหมือนกัน ดังนั้นให้คุณหากางเกงสีขาว เทา หรือกรมท่ามาใส่จับคู่กัน นอกจากนี้เสื้อสูทสีดังกล่าวยังนำมาใส่กับกางเกงชิโน่ ยีนส์ หรือกางเกงผ้ากากี เพื่อให้ดูเป็นหนุ่มร่วมสมัยได้เหมือนกัน

           เสื้อสูทสีดำ


ภาพจาก asos

          มาถึงสีสุดฮิตอย่าง สีดำ กันบ้าง ซึ่งนอกจากกางเกงสีดำแล้ว หนุ่ม ๆ อาจอยากลองเปลี่ยนฟีลมามิกซ์กับสีอื่น ๆ ดูบ้าง เพื่อสร้างลุคที่แตกต่าง ไม่ว่าจะเป็นกางเกงสีโทนเข้มอย่างกรมท่าหรือเทา แต่ถ้าอยากให้ท่อนบนกับท่อนล่างดูฉีกออกจากกันไปเลย กางเกงสีขาวหรือยีนส์เดนิมก็เป็นตัวเลือกที่ไม่เลวเลยทีเดียว

           เสื้อสูทสีเบจ

ภาพจาก asos

          สำหรับคนที่ชอบใส่เสื้อสูท สีเบจ หรือ สีน้ำตาลอ่อน ตัวเลือกที่จับคู่ได้เพอร์เฟคท์ที่สุดคงหนีไม่พ้นสีเบจแน่นอน ทว่าถ้าจะใส่คู่กับกางเกงสีขาว เทาโทนสว่าง หรือสีน้ำเงินก็ดูเท่ไปอีกแบบนะ ทั้งนี้ทั้งนั้นแล้วแต่ความชอบของแต่ละคนเลยครับ 

           เสื้อสูทสีน้ำตาล

ภาพจาก Marcel Floruss

          ปิดท้ายกันด้วยเสื้อสูทสีน้ำตาลที่ให้ลุคดูวินเทจหน่อย ๆ คงไม่มีกางเกงสีไหนจะดูเข้ากั๊นเข้ากันได้มากกว่าสีโทนน้ำตาลเหมือนกันอีกแล้ว ไม่ว่าจำเป็นน้ำตาลเข้มหรือน้ำตาลอ่อน อ้อ แต่หากอยากจับคู่ใส่กับกางเกงสีขาวก็ดูโอเคอยู่นะ

Credit: sanook

          เป็นอย่างไรกันบ้างครับ หลังจากได้ทราบวิธีมิกซ์ แอนด์ แมตช์สีกางเกงให้เข้ากับเสื้อสูทกันไปเรียบร้อยแล้ว ต่อจากนี้ปัญหาเรื่องการจับคู่สีเสื้อสูทกับกางเกงของหนุ่ม ๆ ก็หมดไป ยังไงก็ติดตามอ่านกันต่อไปเรื่อย ๆ แล้วละกัน รับรองว่าเราจะสรรหาเทคนิคการเลือกเครื่องแต่งกายมาฝากอีกแน่นอนครับแล้วกลับมาพบกันที่ SimpleThings เรื่องง่ายๆที่คุณก็ทำได้ สวัสดีครับ