วันเสาร์ที่ 7 มีนาคม พ.ศ. 2558

11 things make yours life better

"สิ่งที่เราควรทำ เพราะมันจะทำให้ชีวิตเราดีขึ้นในอีก 5 ปีข้างหน้า" เลยอยากนำมาฝากครับ  เผื่อใครอยากหาวิธีพัฒนาปรับปรุงตัวเอง ทำได้จริง เห็นผลจริง^^"

หัวเราะวันละ 5 นาทีในทุกๆ เช้า

    มีงานวิจัยของมหาวิทยาลัยโตรอนโต แคนาดา บอกไว้ว่า เมื่อเราอารมณ์ดีแล้วหัวเราะ สมองจะหลั่งสารเอนดอร์ฟิน ซึ่งทำให้เรามีความสุขและจะช่วยให้เราจะเกิดความคิดสร้างสรรค์ที่กว้างขึ้นด้วยล่ะค่ะ นอกจากนี้ยังเชื่อกันว่า การหัวเราะนั้นมีประโยชน์ต่อระบบร่างกายมาก เช่น เมื่อหัวเราะมากๆ ถือเป็นการออกกำลังทุกส่วนของร่างกาย ทำให้อวัยวะต่างๆ ได้เคลื่อนไหวเป็นจังหวะ หัวใจจึงสามารถสูบฉีดเลือดไปเลี้ยงส่วนต่างๆ ได้มากขึ้น ช่วยลดอาการปวดศีรษะ อ่อนเพลีย เหนื่อยง่าย ได้ด้วยค่ะ ^^ 

     หลายคนคงคิดไม่ออกว่าตอนเช้าตื่นมาง่วงๆ จะหัวเราะได้ยังไง ลองมองดูรอบๆ ตัวดีมั้ยคะว่ามีอะไรบ้างที่พอเห็นแล้วเราจะยิ้มได้ทันที เช่น น้องหมาที่เราเลี้ยงไงล่ะ แกล้งน้องหมาตอนเช้าวันละนิตจิตแจ่มใสนะเออ (ถึงมันจะรำคาญเราบ้างก็เถอะ 5555)

เขียนไอเดียความคิดวันละ 20 อย่างลงบนอะไรก็ได้ 

    เขียนไปเรื่อยๆ และวันหนึ่งเราอาจจะขุดเจอ "สิ่งที่ใช่" ก็ได้นะ และเมื่อค้นหาเจอแล้ว อย่าลืมลงมือทำมันด้วย ไม่ต้องเป็นเรื่องจริงจังก็ได้ค่ะ อาจเป็นเรื่องอะไรก็ได้ที่เราบังเอิญนึกขึ้นได้ เช่น

- บังเอิญเปิดเจอรีวิวพาเที่ยวเวียดนาม น่าไปซักครั้ง
- วันนี้กินส้มตำผลไม้ แม่ค้าน่าจะใส่ลำไยลงไปด้วยนะ
- ทองเนื้อเก้าสนุกดี แต่น่าจะมีละครที่เหมือนลำยองแต่เป็นผู้ชายบ้าง


     จริงๆ ไม่ต้องถึง 20 อย่างก็ได้ เอาเท่าที่เราพอจะนึกออก ไม่แน่นะว่าถ้าเราเขียนไว้ทุกวันตลอด 5 ปี เวลามาย้อนอ่านมันต้องเจออะไรเด็ดๆ ที่น่าเอาไปต่อยอดบ้างล่ะ

 อ่านหนังสือสัปดาห์ละ 1 เล่ม แต่ถ้าวันไหนที่คุณรวยขึ้นมากๆ 
   ให้เปลี่ยนเป็นอ่านวันละ 1 เล่มแทน จะอ่านพวกนิยายก็ได้

     น้องๆ รู้มั้ยคะว่าบุคคลที่รวยติดอันดับโลก หรือระดับพวก CEO เนี่ย เค้าอ่านหนังสือกันเยอะมากๆๆๆ เรียกว่าเป็นหนอนหนังสือเลยล่ะค่ะ ซึ่งมันคงไม่ใช่เรื่องบังเอิญแน่ๆ ดังนั้นใน 1 สัปดาห์ จึงแนะนำไว้ว่า ควรอ่านหนังสืออย่างน้อย 1 เล่ม หนังสืออะไรก็ได้แต่ถ้าเป็นหนังสือที่ให้ความรู้หรือช่วยเปิดโลกทัศน์จะดีมาก และพอเรารวยแล้ว(และมีเวลาว่างมากขึ้น) ให้ลองเปลี่ยนมาอ่านเป็นวันละ 1 เล่มแทน

     ที่อยากแนะนำคือ ถ้าน้องๆ นับถือคนดังระดับโลกคนไหนเป็นไอดอล ลองเซิร์ชหาดูก็ได้ครับว่าคนๆ นั้นเค้าชอบอ่านหนังสืออะไร อย่าง วอร์เรน บัฟเฟต์ ที่เป็นนักลงทุนในหุ้นที่รวยมากๆๆๆ ที่สุดในโลก ก็ถือเป็นหนอนหนังสือตัวยง มีหนังสือหลายเล่มเกี่ยวกับการลงทุนที่เขาแนะนำให้อ่าน เช่น Common Stocks and Uncommon Profits, The Intelligent Investor, The Clash of Cultures: Investment vs Speculation เป็นต้น ใครอยากเก่งและรวยแบบนี้ ลองไปค้นหาอ่านหนังสือพวกนี้ก็น่าจะได้ไอเดียดีๆ ไม่น้อย

เขียนบันทึกประจำวันเก็บเอาไว้ มันจะช่วยให้คุณจำ
หรือนึกถึงสิ่งเก่าๆ ได้ และมันจะช่วยบันทึกชีวิต
แต่ละขั้นของตัวเองด้วย


     สมัยนี้ยังมีใครเขียนไดอารี่ไว้มั้ยครับ? เพราะปัจจุบันเราเสพติด Social Network กันจริงจังมาก รู้สึกอะไรหรือเจออะไรมาก็พิมพ์เล่าสดๆ ร้อนๆ ลงเฟซบุคหรือทวิตเตอร์ทันที จนทำให้ไม่ต้องเขียนลงในไดอารี่แล้ว แต่เอาจริงๆ มันก็สู้การเขียนบันทึกใส่ในไดอารี่ไม่ได้หรอกค่ะ อย่าง พี่เองเคยเขียนไดอารี่เก็บไว้ตั้งแต่ตอนม.5 ถึงเรียนจบปี 4 แต่หลังจากนั้นก็ไม่ได้เขียนเลย ทุกวันนี้พอย้อนกลับไปอ่านไดอารี่นี่ก็รู้สึกดีใจมากๆๆ ที่ตอนนั้นเราเลือกที่จะเขียนเก็บไว้ ทำให้เราได้เห็นความคิดสมัยเป็นเด็ก ได้ย้อนกลับไปนึกว่าเคยทำอะไรบ้าง ที่สำคัญคือได้เห็นพัฒนาการของตัวเองด้วยล่ะค่ะ

 ดูพวกสารคดีให้บ่อยกว่าดูภาพยนตร์

     ได้ยินชื่อว่า "สารคดี" หลายคนคงคิดว่าน่าเบื่อแล้วใช่มั้ยล่ะคะ จริงๆ มีสารคดีหลายอย่างที่สนุกมากกกกกกกกอย่างกับดูภาพยนตร์ มีหลายประเภทตามความสนใจให้เราเลือกดูกันเลย เรียกว่าทั้งมันส์และได้ประโยชน์ด้วยล่ะ เพราะฉะนั้นอย่ามัวแต่ดูหนัง หาเวลามาเปิดพวก documentary ดูกันบ้างนะ^^

ตัวอย่างสารคดีน่าดู (เซิร์ชดูจาก Youtube ได้เลย)

Mayday (Air Crash Investigation) สารคดีเกี่ยวกับอุบัติเหตุทางเครื่องบิน จำลองเหตุการณ์ได้เหมือนมากกกกก
The Universe สารคดีเกี่ยวกับดาราศาสตร์ที่น่าสนใจสุดๆ
- River Monster สารคดีที่จะพาเข้าป่าเพื่อไปดูชีวิตสัตว์อย่างใกล้ชิด

     บางรายการก็มีช่องฟรีทีวีของไทยซื้อมาพากย์ไทยและฉายด้วย หาดูกันได้ตามใจชอบเลยล่ะครับ รับรองว่าไม่น่าเบื่ออย่างที่คิดหรอก^^

เก็บสะสมเศษเหรียญเงินทอนเอาไว้

     เชื่อว่าเป็นอะไรที่หลายๆ คนน่าจะทำกันอยู่แล้ว คือเอาพวกเศษเหรียญเงินทอนที่ได้มาหยอดใส่กระปุกหรือภาชนะอะไรก็ได้ที่ใหญ่ๆ ใส่ไว้ทุกวันวันละสองสามบาทก็ได้ เชื่อสิครับ พอผ่านไปนานๆ นี่คือมันจะเยอะขึ้นมากๆๆ จนเราเองก็ยังตกใจเลย 0__0 นี่แหละที่เค้าเรียกว่า มีสลึงพึงบรรจบให้ครบบาท
เรียนภาษาต่างประเทศให้เก่ง

     เป็นอีกเรื่องที่หลายๆ คนน่าจะพยายามกันอยู่ใช่มั้ยเอ่ย แต่ถ้าใครที่คิดว่าภาษาอังกฤษเราโอเคแล้ว ก็ลองหาเรียนภาษาที่สามกันดูก็ไม่เลวเหมือนกันนะคะ เพราะพูดตามความจริงแล้ว ไม่ว่าจะเรียนภาษาอะไรมันก็ดีกับเราทั้งนั้นครับ ถ้าเรารู้สึกชอบและอยากเรียนจริงๆ ยังไงก็เรียนได้อยู่แล้ว อย่างปีที่ผ่านมา พี่ตั้งใจเรียนภาษาดัตช์(เนเธอร์แลนด์)เพิ่มเติม แต่ดูสื่อการเรียนการสอนที่มีในบ้านเรายังไม่ค่อยพร้อม แม้แต่ในร้านหนังสือนำเข้าก็มีหนังสือสอนภาษาดัตช์น้อยมากๆ ปีหน้าเลยคิดว่าจะเปลี่ยนใจเบนเข็มไปฝึกภาษาอื่นแทน กำลังเล็งๆ อยู่เหมือนกันว่าจะเรียนอะไรดี^^"

     และเชื่อเถอะค่ะ ถ้าเราตั้งใจเรียนภาษานั้นๆ ไปเรื่อยๆ อีก 5 ปีผ่านไป ถ้าไม่เก่งก็ไม่รู้จะว่าไงแล้ว! อาจกลายเป็นล่ามหรือนักแปลชื่อดังก็ทำได้ ทำเป็นเล่นไป! อ้อ หรือใครอยากฝึกภาษาอังกฤษแต่ไม่รู้จะไปหาอ่านฟรีๆ ได้ที่ไหน ก็แวะไปอ่านคอลัมน์ English Issue ได้เลย สอนภาษาอังกฤษน่ารู้ไว้เพียบเลยล่ะ

ไปสถานที่ใหม่ๆ ทุกวัน

     หลายคนอาจจะงงๆ แค่ตารางชีวิตทุกวันนี้ก็ยุ่งจะตายแล้ว จะให้ไปไหนล่ะ? จริงๆ แล้ว 'ที่ใหม่ๆ' นี้ไม่ต้องถึงขั้นต่างจังหวัดหรือต่างประเทศหรอกค่ะ เอาแค่เปลี่ยนร้านอาหารที่ทานข้าว หรือเปลี่ยนห้องน้ำที่เคยเข้า(ไปเข้าห้องน้ำชั้นอื่น) 

     มีครั้งนึงพี่เคยต้องไปซื้อของในย่านหนึ่งที่ไม่เคยไปเลย ตอนไปก็ตื่นเต้นมากเพราะกลัวหลงทางสุดๆ แต่ก็ไปถึงจนได้ ยิ่งอารมณ์ที่เราต้องเดินหาร้านค้านั้นๆ ที่เราต้องการไปนี่ลุ้นมากเลยนะว่าใกล้เจอรึยัง มันทำให้รู้สึกว่า ความตื่นเต้นมันเกิดได้ทุกที่จริงๆ ฮ่าๆๆ


เก็บเงิน 15% ของรายได้ที่ได้มาและนำไปลงทุนในหุ้น
หรืออสังหาริมทรัพย์ และเมื่อมันผ่านไป 5 ปี
คุณจะตกใจเลยล่ะว่าคุณเก็บเงินได้มาก

     อย่างเช่นเวลาที่คุณพ่อคุณแม่ให้ค่าขนมเรา สมมติว่าได้เดือนละ 5 พันบาท น้องๆ ลองหักออกมาก่อน 15% ก็จะคิดเป็น 750 บาท จากนั้นก็ลองนำเงินก้อนนี้ไปฝากบัญชีออมทรัพย์ และเมื่อเก็บได้มากขึ้น ก็ลองนำเงินก้อนนี้ไปทำอะไรสักอย่าง แต่หุ้นกับอสังหาริมทรัพย์ก็ดูจะเป็นเรื่องเข้าใจยากสำหรับเด็ก พี่ขอแนะนำ "กองทุน" 


     กองทุนคือการรวมเงินก้อนใหญ่ๆ ก้อนหนึ่งแล้วนำเงินนั้นไปลงทุน โดยคนที่มีหน้าที่จัดการกองทุนๆ นั้นก็คือผู้จัดการกองทุน เช่น เราซื้อกองทุน 2 พันบาท เพื่อนอีกคนซื้อ 5 พันบาท ผู้จัดการกองทุนก็จะเอาเงินของเรากับคนอื่นๆ ที่ซื้อกองทุนนั้นๆ มารวมกันแล้วนำไปลงทุนตามแผนที่วางเอาไว้นั่นเอง บางกองทุนทำผลงานดีมาก ได้กำไรปีละ 50% (พูดง่ายๆ คือถ้าซื้อตอนต้นปีไว้ 1 แสน พอสิ้นปีจะกลายเป็น 1 แสน 5 หมื่นบาท!!) น้องๆ คนไหนสนใจก็ลองเดินเข้าไปขอข้อมูลจากธนาคารได้เลยค่ะแล้วเชื่อเถอะ 5 ปีผ่านไป น้องจะได้กำไรจากกองทุนนั้นมหาศาลเลยค่ะ(ถ้าเศรษฐกิจประเทศไม่ถอยหลังลงคลองเรื่อยๆ นะคะ เหอๆๆ)


 เขียนจดหมายหาตัวเองแล้วค่อยเปิดอ่านใน 5 ปีข้างหน้า 
เขียนคำถามข้อสงสัยใส่ลงไปในจดหมายด้วย

     เป็นอีกวิธีที่น่าจะเจ๋งเหมือนกันเนาะ เขียนจดหมายถึงตัวเองไว้ว่าตอนนี้เราทำอะไรอยู่และอีก 5 ปีข้างหน้าเรา(น่า)จะเป็นยังไงบ้าง แล้วอีก 5 ปีข้างหน้าค่อยมาเปิดอ่านว่า มันเป็นแบบที่เราตั้งใจไว้มั้ย^^ โอ้วๆๆ เจ๋งๆๆ เดี๋ยวลงมือเขียนบ้างเลยดีกว่า อิอิ


เลิกกลัว เพราะความกลัวเป็นลักษณะของคนขี้ขลาด
 
     เป็นอะไรที่พูดง๊ายง่าย แต่ทำย๊ากยาก เราทุกคนก็คงรู้ดีว่าถ้าเรากำจัดความกลัวไปได้ เราจะกล้าทำอะไรใหม่ๆ มากขึ้น แต่ยังไงมันก็เป็นเรื่องที่เรายังกลัวอยู่ดี = =" เรื่องนี้มันอยู่ที่ตัวเราเองเนาะ พี่เคยได้ยินประโยคนึงว่า "หากเราพยายามเต็มที่แล้ว ไม่ว่าผลออกมาเป็นยังไง สิ่งที่เกิดขึ้น สุดท้ายแล้วมันจะนำไปสู่สิ่งที่ดีและเหมาะสมกว่า" ฟังแล้วแบบฮึกเหิมมากจริงๆ!!

     นั่นก็คือ 11 ข้อที่จะช่วยเปลี่ยนชีวิตของเราในอีก 5 ปีข้างหน้าหากเริ่มลงมือทำตั้งแต่วันนี้ แล้วกลับมาพบกันใหม่นะครับกับ SimpleThings เรื่องง่ายๆที่คุณก็ทำได้ สวัสดีครับ